เมษายน 18, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

Fake News (ตอนที่10) กรณีข้อสงสัยในบทบัญญัต จากคัมภีร์อัลกุรอานของพี่น้องชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง

แชร์เลย

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)


ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน
ตามทัศนะผู้เขียน คำว่า Fake News ไม่ได้หมายถึงข่าวที่ไม่จริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ระบุไว้ตอนหนึ่งสถานะหนึ่งเวลาหนึ่งแต่นำมาใช้อีกบริบทหนึ่ง หรือกล่าวไว้ตอนหนึ่งส่วนหนึ่งแต่นำมาไม่หมด
กรณีดังก่าวคือข้อกล่าวหาในเนื้อหาของคัมภีรุอัลกุรอาน “สอนความรุนแรง” ดังที่กลุ่มชาวพุทธในประเทศไทยนำมาโจมตีและต่อต้านการสร้างมัสยิดในปัจจุบันและก่อนหน้านี้ซึ่งแพร่หลายในสื่อออนไลน์ในกลุ่มชาวพุทธ
(ข้อห่วงกังวลของชุมชนพุทธและมุสลิมในสังคมไทย
โปรดดูhttps://deepsouthwatch.org/th/node/11160)
ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ประธานสำนักจุฬาราชมนตรี(ส่วนหน้า) กล่าวว่า “กรณีการนำถ้อยความจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานซูรอฮเตาบะฮ อายะฮ (โองการ)ที่ 123 ซึ่งมีเนื้อความบัญชาให้มุสลิมทำสงครามกับพวกต่างศาสนาที่อยู่ใกล้ชิดรัฐอิสลามในยุคนั้นมากที่สุด(คือโรมันนั่นเอง) อายะฮนี้ถูกนำมาใช้โจมตีอิสลามว่าโหดร้าย คิดแต่จะทำลายศาสนิกอื่นนั้น ขอเรียนชี้แจงดังนี้การสงครามในอิสลามได้รับการอนุมัติให้ทำได้ หลังจากศาสดาและมุสลิมได้ใช้ความอดทนอย่างมากและยาวนานถึง 13 ปีต่อการกดขี่ข่มเหงของบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย เป็นเวลา 13 ปีที่มุสลิมใช้ความสงบเข้าสู้และถูกห้ามตอบโต้ด้วยความรุนแรง เมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็ให้หลีกหนีความโหดร้ายทารุณนั้นด้วยการอพยพไปอยู่ที่อื่น (ฮิจรอฮ)จึงมีการอพยพจากมักกะฮไปยังมดีนะฮโดยศาสดาและผู้ศรัทธาทั้งหลาย
แต่แม้กระนั้น มุสลิมในมดีนะฮก็ยังถูกตามราวีไม่หยุดหย่อน โดยมีโรมันและอาหรับบางเผ่ารอบ ๆมะดีนะฮเข้ามาเป็นแนวร่วมฝ่ายศัตรูด้วย
ในภาวะเช่นนี้ที่การถอยร่นมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว อัลลอฮจึงได้ทรงอนุญาตให้มุสลิมทำสงครามได้เพื่อปกป้องตัวเองจากการมุ่งร้ายของกองทัพมุชริกีน หลังจากได้ใช้สันติวิธีมากมายเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันฉันมิตรแล้ว เช่น การทำสัญญาสันติภาพ การส่งทูตเจรจาสร้างความเข้าใจ แต่ทุกวิธีก็ล้มเหลว พวกเขาฆ่าทูตที่ศาสดาส่งไป ฉีกสาสน์ที่ท่านเขียนไปถึง ทรยศต่อพันธะสัญญา และเตรียมการที่จะบดขยี้มดีนะฮให้แหลกราญ
ภายใต้บริบทเช่นนี้ที่โองการที่ 123 แห่งซูรอฮเตาบะฮถูกประทานลงมา เป็นโองการที่เยียวยาสถานการณ์คับขันมิให้ตกเป็นฝ่ายรับตลอด แต่ให้รุกเข้าไปสลายกำลังศัตรูก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนกำลังมาทำลายมดีนะฮ แต่กระนั้นก็ยังเมตตาให้พวกเขาได้คิดทบทวนถึงสี่เดือนก่อนถึงจุดแตกหัก (ดูอายะฮที่ 2 ซูรอฮเดียวกัน)
อายะฮดังกล่าวจึงสัมพันธ์กับบริบทเฉพาะกาลและเชื่อมโยงกับเงื่อนไขบางอย่างคือการถูกรุกราน บิดพลิ้วสัญญา และฆ่าผู้บริสุทธิ์ เป็นต้น มิใช่คำสั่งให้ฆ่าสังหารผู้อื่นที่มิใช่มุสลิมทั่วไปแต่อย่างใดจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่ออัลกุรอานเช่นกันที่บัญชาให้มุสลิมต้องทำดีต่อพี่น้องต่างศาสนาและต้องให้ความเป็นธรรมอย่างที่สุด หากทุกฝ่ายไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน (อัลมุมตะฮินะฮ :8)
การหยิบเอาอายะฮมาโดยไม่อธิบายบริบทและพูดถึงอายะฮนี้เพียงอย่างเดียวโดยตัดขาดจากอายะฮอื่น ๆ เป็นการแยกส่วนศาสนาซึ่งสะท้อนความไม่เข้าใจและบ่งบอกถึงอคติภายในที่เผาผลาญหัวใจของผู้บิดเบือนอยู่ อัลลอฮ์ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
والله تعالى أعلم”
อัลกุรอานสอนความรุนแรงจนนำไปสู่ ปัญหาการก่อการร้ายกระนั้นหรือ ?
เมื่อเราเปิดอัลกุรอานจะพบว่ามีบางข้อความในอัลกุรอานพูดถึงความรุนแรงจริงเช่นโองการที่หนึ่งอัลลอฮฺ ได้ตรัสความว่า
“และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่สูเจ้าพบพวกเขา” (กุรอาน 2:191)
และโองการที่สองอัลลอฮฺ ได้ตรัสความว่า

“แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ ก็จงจับพวกเขาและฆ่าพวกเขา ณ ที่สูเจ้าจับพวกเขาได้ และ (ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม) จงอย่าเอาพวกเขามาเป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือ” (กุรอาน 4:89)
ทำไม ? คัมภีร์กุรอานถึงได้กล่าวเช่นนั้น ความเป็นจริงข้อความข้างต้นยังมีข้อความก่อนหน้านี้และข้อความต่อท้ายอีกหลายประโยค หากนำเพียงข้อความข้างต้นอย่างเดียวจะทำให้เข้าใจว่าอิสลามหรืออัลกุรอานสอนให้ฆ่าได้ทุกคน ข้อความทั้งหมดในโองการที่หนึ่งมีดังนี้ อัลลอฮฺ ได้ตรัสความว่า

“และพวกเจ้าจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกราน แท้จริง อัลลอฮฺมิทรงรักผู้รุกราน และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่เจ้าพบพวกเขาและจงขับไล่พวกเขาออกไปจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออกไป เพราะการกดขี่ข่มเหงนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่า
และจงอย่าสู้รบกับพวกเขาในมัสญิดอัลฮะรอม(เมืองมักกะฮฺ ประเทศซาอุดิอารเบีย) เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกเจ้าในที่นั้น ถ้าหากพวกเขาต่อสู้พวกเจ้า ก็จงฆ่าเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนผู้ปฏิเสธศรัทธา
แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอน อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ และจงต่อสู้พวกเขาจนกว่าจะไม่มีการก่อความวุ่นวาย และการกดขี่เกิดขึ้น และจนกว่าความยุติธรรมและการเคารพภักดีทั้งหมดจะเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น
แต่ถ้าพวกเขายุติก็จงอย่าให้การเป็นศัตรูใดๆเกิดขึ้นเว้นแต่พวกที่สร้างความอธรรมเท่านั้น เดือนต้องห้ามก็ด้วยเดือนต้องห้ามและบรรดาสิ่งที่จำเป็นต้องเคารพนั้นก็มีกฎแห่งความเท่าเทียมกัน
ดังนั้นถ้าผู้ใดละเมิดต่อสูเจ้า ก็จงตอบโต้(การป้องกันตัว)การละเมิดของเขาเช่นเดียวกับที่เขาละเมิดพวกเจ้า แต่จงเกรงกลัวอัลลอฮฺและจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรง” (กุรอาน 2:190-194)
ส่วนข้อโองการที่สองมีข้อความทั้งหมดดังนี้

“พวกเขาชอบถ้าหากพวกเจ้าปฏิเสธศรัทธาเหมือนดังพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น จงอย่าได้ยึดเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตรจนกว่าพวกเขาจะอพยพในหนทางของอัลลอฮฺ(จากสิ่งที่ต้องห้าม)
แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงจับพวกเขาไว้และฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่สูเจ้าพบพวกเขาและไม่ว่ากรณีใดก็ตามจงอย่าเอาผู้ใดในหมู่พวกเขามาเป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือ นอกจากบรรดาผู้ที่เข้าร่วมกับกลุ่มที่พวกเจ้ามีสัญญาสันติภาพระหว่างกัน
หรือบรรดาผู้ที่เข้ามาหาเจ้าด้วยหัวใจที่ยับยั้งพวกเขามิให้ต่อสู้เจ้าเช่นเดียวกับที่จะต้องต่อสู้กับพวกเขาเอง และถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้วพระองค์ทรงสามารถที่จะให้พวกเขามีอำนาจเหนือสูเจ้าและพวกเขาจะต่อสู้เจ้า
ดังนั้นถ้าหากพวกเขาถอนตัวออกไปจากพวกเจ้าและไม่ต่อสู้พวกเจ้าแล้ว และให้หลักประกันสันติภาพแก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้น อัลลอฮฺก็มิทรงเปิดหนทางใดสำหรับเจ้า(ที่จะทำสงครามต่อพวกเขา) พวกเจ้าจะพบพวกอื่นๆที่ต้องการจะได้รับความปลอดภัยจากพวกเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขาเอง
คราใดที่พวกเขาถูกส่งกลับไปสู่การล่อลวงอีกพวกเขาก็จะกลับไปสู่สิ่งนั้นตามเดิม ดังนั้น ถ้าหากพวกเขามิได้ถอนตัวออกไปจากพวกเจ้าและมิได้ให้(หลักประกัน)สันติภาพแก่พวกเจ้าและมิได้ยับยั้งมือของพวกเขาไว้แล้วก็จงจับพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา ในกรณีของพวกเขาเหล่านี้แหละที่เราได้ให้อำนาจที่ชัดเจนต่อพวกเจ้า? ” (กุรอาน4:89-91)
เมื่ออ่านข้อความจากอัลกุรอานทั้งหมดนี้แล้วไม่มีข้อความใดอนุญาตให้ฆ่าใครได้อย่างเสรี และปราศจากเหตุผล
เมื่อพิจารณาภูมิหลังโองการดังกล่าวจะพบว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานข้อความอัลกุรอานแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด ในตอนที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาแห่งมักกะฮฺ (ประเทศซาอุดิอารเบียในปัจจุบัน) โจมตีมุสลิมอยู่เป็นประจำ นอกจากนั้นแล้วคนพวกนี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาคมมุสลิมในนครมะดีนะฮฺด้วย มุสลิมจึงได้รับอนุญาตให้ตอบโต้ผู้รุกรานเพื่อป้องกันตัวแต่ต้องอยู่ภายใต้จริยธรรมในการทำสงคราม (โปรดดูญิฮาดหรือก่อการร้าย: อับดุลสุโก ดินอะ, มติชน , 8/04/48,หน้า6-7)
ข้อความดังกล่าวนั้น มิใช่การอนุญาตให้มีลัทธิก่อการร้ายแต่อย่างใด แต่เป็นการเตือน ผู้รุกรานหรือผู้ก่อการร้ายต่างหาก แต่แม้จะเป็นการเตือนก็ตาม คำสั่งในอัลกุรอานเน้นให้มีการยับยั้งและระมัดระวังในการตอบโต้ ถ้าได้ศึกษาเนื้อหาคำสอนของอัลกุรอานแล้วท่านจะต้องศึกษาเรื่องราวภูมิหลังของคำสอนดังกล่าวด้วย เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมาก มิเช่นนั้น คำสอนของศาสนาจะถูกนำไปตีความอย่างผิดๆ หรือใช้เพื่อบิดเบือน เป็นเรื่องจริงที่มุสลิมบางคนและบางกลุ่มที่มีแนวคิดสุดโต่งได้นำเอาข้อความเหล่านี้ไปใช้เพื่อเป้าหมายของตนเอง
ความเป็นจริงการฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดโดยปราศจากความผิดเป็นถือเป็นบาปใหญ่ ในอัลกุรอานไม่อนุญาตให้ฆ่าคนบริสุทธิ์ โดยไม่คำนึงว่าเขาหรือเธอจะนับถือศาสนาใดชีวิตของมนุษย์ทุกคนมีค่าตามคำสอนของกุรอานและทางนำของศาสดามุฮัมมัด คัมภีร์กุรอานกล่าวถึงเรื่องการห้ามฆ่าไว้ความว่า

“และจงอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้นที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่พวกเจ้านั้น ก็เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญา” (กุรอาน6:151)
และอัลลอฮฺ ยังได้ตรัสไว้อีกความว่า

“และจงอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้เว้นแต่เพื่อความยุติธรรมและผู้ใดถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้น เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครอง(ที่จะลงโทษอย่างเท่าเทียมกันหรือให้อภัย) ดังนั้นจงอย่าได้ล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า เพราะเขา (ผู้ถูกอธรรม) จะได้รับความช่วยเหลือ” (กุรอาน17:33)

“และการฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดโดยปราศจากความผิดถือเป็นบาปใหญ่ เหมือนกับการฆ่ามนุษยชาติทั้งหมด และการไว้ชีวิตใครคนหนึ่งถือเป็นความดีเหมือนกับการไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งหมด” (กุรอาน 5:32)

ความเป็นจริง ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความมากมายที่กล่าวถึงการส่งเสริมคนทำความดีละเว้นความชั่ว และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างศาสนิกต่างๆ แต่ผู้คนกลับไม่กล่าวถึงและนำมาปฏิบัติ ในเมื่ออัลกุรอานเป็นคัมภีร์เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตในทุกๆด้านและมิติทีเกี่ยวข้องกับมนุษย์ และบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์คือกฏหมายที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ ดังนั้น จึงเสมือนดาบสองคมที่จะนำสู่สันติภาพของโลกหากนำไปสนับสนุนความถูกต้อง ในทางกลับกันมันจะนำไปสู่ความรุนแรงและการก่อการร้ายระดับโลก

….หากคำสอนของอัลกุอานถูกนำไปตีความอย่างผิดๆหรือใช้เพื่อบิดเบือน อย่างที่ต่างศาสนิกบางคน บางกลุ่มและมุสลิมบางคนและบางกลุ่มที่มีแนวคิดสุดโต่งได้นำเอาข้อความเหล่านี้ไปใช้ เพื่อเป้าหมายของตนเอง เพราะฉะนั้นเราต้องแยกแยะระหว่างหลักการของศาสนาที่ถูกต้องกับมุสลิม (ต่างศาสนิกก็เช่นกัน) เพราะผู้กระทำผิดเป็นคนละส่วนกัน ในขณะเดียวกัน เราจะต้องร่วมกันประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบที่กระทำในนามของศาสนา(ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน)และเป็นกำลังใจต่อผู้กระทำความดี ละเว้นความชั่ว….
_____
โปรดดูเพิ่มเติมใน
1.อัลกุรอานสอนความรุนแรงกระนั้นหรือ ?
http://www.islammore.com/view/1266
2. คัมภีร์อัลกุรอาน” ศึกษาจากต้นฉบับภาษาอาหรับ

https://prachatai.com/journal/2005/08/21315

หมายเหตุ
1.Fake News (ตอนที่1)มหันตภัยร้าย !! สังคมไทยในการสร้างความเกลียดชัง :กรณีศึกษาหลักสูตรอิสลามศึกษาในโรงเรียนรัฐ (ตอนที่1)//อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์(อับดุลสุโก ดินอะ)http://spmcnews.com/?p=22122
2.(ตอนที่ 2) Fake News มหันตภัยร้ายสังคมไทยในการสร้างความเกลียดชัง:กรณีศึกษาหลักสูตรอิสลามศึกษาในโรงเรียนของรัฐ//อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์(อับดุลสุโก ดินอะ)รายงาน/เรียบเรียง..http://spmcnews.com/?p=22161
3(ตอนที่3)Fake News มหันตภัยร้ายสังคมไทยในการสร้างความเกลียดชัง:กรณีศึกษาหลักสูตรอิสลามศึกษาในโรงเรียนของรัฐ//อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)รายงาน/เรียบเรียง//http://spmcnews.com/?p=22191
4.Fake News (ตอนที่4)มหันตภัยร้ายสังคมไทยในการสร้างความเกลียดชัง:กรณีศึกษาวิชาอิสลามศึกษา//อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)เรียบเรียง http://spmcnews.com/?p=22274

5.(ตอนที่ 5) Fake News นอกจากเรื่องหลักสูตรอิสลามศึกษาแล้วยังมีเรื่องบิดเบือนมากกว่านั้นอีก/อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)http://spmcnews.com/?p=22396
6.Fake News (ตอนที่6)มหัตภัยร้ายกว่า ขบวนการใช้ความรุนแรงที่ชายแดนใต้///อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) รพี มามะ บรรณาธิการข่าว….http://spmcnews.com/?p=22693
7. Fake News (ตอนที่7)
http://spmcnews.com/?paged=4

8. Fake News (ตอนที่8)

สองทัศนะนักวิชาการเกี่ยวกับ Fake News(ตอนที่ 8) หลังจากมีการถกเถียงเรื่องFake News เรื่องเงินกู้กองทุนกยศ.อย่างเผ็ดร้อน

6.Fake News (ตอนที่6)มหัตภัยร้ายกว่า ขบวนการใช้ความรุนแรงที่ชายแดนใต้///อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) รพี มามะ บรรณาธิการข่าว….http://spmcnews.com/?p=22693

7.ลม้าย มานะการ กับข้อเสนอทางออกหลังจากผลของ Fake news (ตอนที่7) ที่ชายแดนใต้//อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (รพี มามะ บรรณาธิการข่าว) http://spmcnews.com/?p=22730
8.
สองทัศนะนักวิชาการเกี่ยวกับ Fake News(ตอนที่ 8) หลังจากมีการถกเถียงเรื่องFake News เรื่องเงินกู้กองทุนกยศ.อย่างเผ็ดร้อน “ผู้บริหารไอแบงค์ต้องฟ้องนะครับ เพื่อเป็นอานิสงส์กระตุกต่อมคิดของคนไทย และเพื่อยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานในการปกป้องตนเองของแบงค์//http://spmcnews.com/?p=22741

9.

Fake News(ตอนที่9) มหันตภัยร้าย ที่กำลังทิ่มแทงสังคมพุทธ-มุสลิม(กรณีห้ามสร้างมัสยิด)อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)http://spmcnews.com/?p=22889

 1,863 total views,  4 views today

You may have missed