พฤศจิกายน 26, 2024

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

บททดสอบผู้รู้ทุกยุค หลัง “พูดความจริงต่อหน้าผู้นำอธรรม”กับการลาออก อิหม่ามดร.วิสุทธิ์

แชร์เลย

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


#หากการกดดันมาจากยักษ์ใหญ่โลกมุสลิมอย่างซาอุดีอาระเบียไม่ใช่ตะวันตกเป็นที่น่าเสียใจยิ่งเพราะท่านวิจารณ์และออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอเมริกาและ อิสราเอลมากกว่าอีก
ข่าวดังโลกโซเชี่ยลหลังจากอิหม่าม ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ลาออกจากผู้แทนจุฬาราชมนตรี ด้วยเหตุผลที่สำนักจุฬาราชมนตรีถูกกดดันจากต่างประเทศ ทำให้กระแสกำลังใจต่อท่านสูง(http://spmcnews.com/?p=37367&fbclid=IwAR3bDXlDy39UJrlKe43i-IXzaQNIXu-cUuC9F4rlHaeG7IYy5J4ag9l8ngA)
ในขณะที่ข่าวการสาเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าดูบทความ(เขียนโดยดร.อิลยาส หญ้าปรัง)นี้ น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดกล่าวคือ

“ ใครวิพากษ์วิจารณ์สงครามนี้ MBS จับเข้าคุกทรมาณ นักวิชาการศาสนาที่แม้เพียงทวิตเตอร์ประโยคว่า “ขอให้รักกันด้วยความเป็นพี่น้อง” ต้องถูกจำคุกและถูกทรมาน นักหนังสือพิมพ์ระดับวอชิงตันโพสต์ ยามาล คาช้อรกี้ ถูกฆ่าอย่างทารุณแม้อยู่ในสถานฑูตในตรุกี MBS ยังร่วมกับผู้ปกครองแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มูฮัมหมัด บินซาเอ็ด (MBZ) สนับสนุนการทำรัฐประหารที่อียิปต์ ปิดล้อมการ์ต้า สนับสนุนขายอาวุธให้ชาวลิเบียทำสงครามกันเอง จับนายกรัฐมนตรีเลบานอนเป็นตัวประกัน ฯลฯ

ปัจจุบันการใช้อำนาจของซาอุฯลามมายังประเทศไทย มีการกดดันให้องค์กรศาสนา จัดการ กดดัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดิอารเบีย แน่นอนว่าองค์กรเล็กๆไม่อาจต้านแรงเสียดทานที่มีเดิมพันสูงได้ และมีนักวิชาการปัญญาชนผู้มีจิตใจเป็นธรรมสังเวยต่อการกดดันนี้แลกกับผลประโยชน์บางอย่างในนามของศาสนา

ชาวซาอุดิอารเบีย เป็นผู้มีจิตใจดีงามตามแบบฉบับของผู้คนในทะเลทราย พวกเขายึดมั่นในอิสลามตามแบบฉบับของศาสนฑูต แต่รัฐบาลซาอุดิอารเบียเป็นรัฐบาลที่เลวร้าย (จริงๆไม่มีรัฐบาลในความหมายที่เราเข้าใจกันเป็นการปกครองโดยคนๆเดียว) พวกเขาไม่ต้องการได้ยินอะไรทั้งสิ้นที่ขัดกับความต้องการของพวกเขา

ซาอุดิอารเบียต้องหยุดการกระทำดังกล่าว หยุดสงครามในเยเมน (ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประกาศหยุดการสนับสนุนซาอุดิอารเบียในสงครามเยเมนแล้ว) หยุดการสนับสนุนรัฐประหารและรัฐบาลเผด็จการในอียิปต์ ปล่อยตัวนักวิชาการและปัญญาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่โหดร้ายของรัฐบาล หยุดกดดันและคุกคามผู้เรียกร้องไปสู่ความยุติธรรม ความเป็นพี่น้องและสันติภาพทั้งในและนอกประเทศ

กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ เป็นประชาชาติตัวอย่าง (คัยร อุมมะฮ์) ให้สมกับเป็นผู้ปกป้องมัสยิดอันศักดิสิทธิทั้งสองแห่ง (อัลฮาราเมน)”
(อ้างอิงจาก https://www.facebook.com/100001415372289/posts/3887807721276369/?d=n)
หากการกดดันมาจากยักษ์ใหญ่โลกมุสลิมอย่างซาอุดีอาระเบียไม่ใช่ตะวันตกเป็นที่น่าเสียใจยิ่งเพราะท่านวิจารณ์และออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอเมริกาและ อิสราเอลมากกว่าอีก

ทั้งนี้ หากติดตามจุดยืนของอิหม่ามดร.วิสุทธิ์ พบว่ายืนอยู่บนสัจธรรมเช่นวิพากษ์วิจารณ์
อิสราเอล ตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาแทรกแซงในตะวันออกกลาง และไม่เห็นด้วยกับบทบาทของอิหร่านในซีเรีย ในขณะเดียวกันวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการผู้นำรัฐประหารอียิปต์ อัซซีซี ผู้นำประเทศซาอุดิอาระเบีย และเครือข่ายอย่างเข้มข้น ต่อท่าทีของการคว่ำบาตรกาตาร์และล่าสุด ซาอุดิอารเบียและประเทศกลุ่มอ่าว ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอล หรือผู้นำรัฐประหารไทยและผู้นำทุกคนที่ปกครองอย่างอธรรมซึ่งสอดคล้องกับท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด เคยวัจนะ ว่า ((أَفْضَلَ الْجِهَادِ كَلِمَةُ حَقٍّ عِنْدَ سُلْطَانٍ جَائِرٍ)):
ความว่า “สุดยอดญีฮาด (การต่อสู้ในหนทางพระเจ้า)คือการพูดความจริงต่อ(หน้า)ซุลฏอน(ผู้นำ)อธรรม”หะดีษนี้บันทึกโดยอิหม่ามอบูดาวุดและตุรมีซีย์

อิหม่ามดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ เคย กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า

“เมื่อความชั่วมาจากผู้ปกครองบ้านเมือง​ ก็เป็นหน้าที่ระดับฟัรฎูกิฟายะฮสำหรับมุสลิมที่จะต้องช่วยกันยับยั้งความชั่วนั้นตามกำลังความสามารถ​ และไม่สามารถปล่อยผ่านความชั่วง่าย​ ๆ​ โดยอ้างว่าต้องภักดีต่อผู้นำและหากออกมาต่อต้านอาจเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้

แม้นหากความจริงเป็นเช่นนั้น​ อิสลามก็คงไม่กำหนดให้มุสลิมต้องญิฮาดซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องเอาทั้งชีวิตและทรัพย์สินเข้าแลก​ และคงไม่มีคำสอนให้พูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครองที่อธรรม​ แม้อาจต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

การภักดีต่อผู้นำจึงมีเงื่อนไขว่าต้องมิใช่ในเรื่องที่ผิดหลักศาสนาและการป้องกันความเสียหายก็ต้องมิใช่การปล่อยให้ผู้นำชั่วย่ำยีประเทศชาติอย่างลอยนวลต่อไป

เมื่อต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายก็ควรตระหนักว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะโดยไม่เกิดความเสียหายอะไรเลย​ และควรตระหนักด้วยว่าการร่วมกันกับคนหมู่มากเพื่อยับยั้งความชั่วและเปลี่ยนแปลงสังคมสู่สิ่งที่ดีกว่า​ ย่อมมีโอกาสชนะมากกว่าการต่อสู้เพียงลำพัง(อ้างอิงจากบทความผู้เขียน ดูเพิ่มเติมใน http://spmcnews.com/?p=34615)

#บททดสอบผู้รู้มีทุกยุค แตกต่างกันไป
หากเราศึกษาประวัติของอุลามาอฺ (ผู้รู้ศาสนา)เราได้เห็นว่าอุลามาอฺได้เผชิญกับบททดสอบภัย คุกคามต่าง ๆ นานาทุกยุคทุกสมัย
เช่น

1.อิหม่ามอบูฮะนีฟะฮฺดำรงชีวิตอยู่ใน 2 ยุค สมัยของราชวงค์อัลอุมะวีย์ และสมัยของ ราชวงค์อัลอับบาซีย์ เมื่อยะซีด อิบนฺ อุมัรในสมัยของราชวงค์อัลอุมะวีย์ขึ้นปกครองอิรัก ท่านได้เสนอให้อบูฮะนีฟะฮฺทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาแห่งนครกูฟะฮฺ แต่ท่านอบูฮะนีฟะฮฺปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอดังกล่าว อันเนื่องมาจากท่านไม่พอใจต่อการปกครองของราชวงค์นี้ ผลการปฏิเสธดังกล่าวทำให้ยะซีดได้สั่งให้ลงโทษท่านโดยการทรมานท่านอิหม่ามด้วยการเฆี่ยนตีด้วยแซ่วันละ 10 ครั้ง จนครบ 110 ครั้ง ถึงแม้ว่าท่านอิหม่ามอบูฮะนีฟะฮฺถูกเฆี่ยนตีท่านก็ยังปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งดังกล่าวที่คอลีฟะฮฺได้เสนอให้ท่าน จนกระทั่งในเวลาต่อมายะซีดก็ให้ปล่อยตัวท่านให้เป็นอิสระ หลังจากนั้นไม่นานนักยะซีดมีปรารถนาให้ท่านดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในสำนักหรือในการปกครองของตนให้ได้ จึงเสนอให้ท่านรับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกองทุนทรัพย์สิน แต่อบูนีฟะฮฺก็ปฏิเสธอีก และท่านเห็นว่าหากท่านดำรงชีวิตอยู่ในอิรักต่อไป ท่านคงไม่มีความปลอดภัย ท่านก็เลยตัดสินใจอพยพไปสู่นครมักกะฮฺ เพื่อทำการสอนที่นั้น วิชาที่ท่านสอนก็คือวิชาหะดีษและวิชาฟิกฮฺ โดยท่านได้ใช้เวลาในการเผยแผ่วิชาความรู้ที่นั้นเป็นเวลา 6 ปี ด้วยกัน

………เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิรัก อำนาจการปกครองได้เปลี่ยนจากราชวงค์อัลอุมะวีย์เป็นราชวงค์อัลอับบาซีย์ คอลีฟะฮฺองค์ใหม่ที่ขึ้นครองอำนาจคือ อบูญะฟัร อัลมันซูร คอลีฟะฮฺอบูยะฟัร ก็พยายามให้ท่านระบายความรู้สึกต่างๆ อบูฮะนีฟะฮฺ ก็ได้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นของท่านในการปกครองของคอลีฟะฮฺองค์นี้โดยท่านได้วิพากษ์วิจารณ์งานบริหารด้านต่างๆ การแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาของอบูฮะนีฟะฮฺ สร้างความไม่พอใจแก่คอลีฟะฮฺอบูญะฟัรเป็นอย่างมาก ในที่สุดคอลีฟะฮฺอบูญะฟัรก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับคอลีฟะฮฺในราชวงค์ก่อน โดยได้นําตัวอิหม่ามอบูฮะนีฟะฮฺจากนครกูฟะฮฺไปยังนครแบกแดดแล้วเสนอตำแหน่งผู้พิพากษาให้แต่ท่านปฏิเสธ ด้วยเหตุดัวกล่าว คอลีฟะฮฺอบูญะฟัรทรงสั่งให้ลงโทษอบูฮะนีฟะฮฺด้วยการคุมขังท่านไว้โดยไม่มีกำหนดจนกระทั้งสิ้นชีพ
2. ท่านอิหม่ามมาลิกได้รับถูกทรมานอย่างหนักในสมัยของคอลีฟะฮอบูญะฟัร อัลมันซูรแห่งราชวงค์ อัลอับบาซีย์ สาเหตุที่ท่านถูกทรมานนั้น
เกิดจากการที่ท่านอิหม่ามได้บันทึกหะดีษที่ว่า ผู้ถูกบังคับนั้น ไม่ทำให้การกล่าวหาอย่าร้างภรรยา ของเขามีผล แต่คอลีฟะฮฺอัลมันซูรไม่ปราถนาให้หะดีษนั้นถูกบันทึกไว้เนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะไม่ให้การสนับสนุนคอลีฟะฮฺ หากประชาชนได้รับหะดีษบทนี้เพราะหะดีษดังกล่าวจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงอาจจะทำให้คอลีฟะฮมีผู้สนับสนุนน้อยลง อิหม่ามมาลิกเป็นอุลามาอฺที่ตรงไปตรงมาท่านยืนหยัดและปราถนาที่จะให้หะดีษนี้ถูกบันทึกไว้ ทำให้คอลีฟะฮฺไม่สบายใจจึงต้องตัดสินลงโทษอิหม่ามมาลิกด้วยการทรมานโดยหวังว่าอิหม่ามมาลิกจะยอมให้การสนับสนุนพระองค หรือคอลีฟะฮฺ
3. อิหม่ามอัหมัดอิบนฺหัมบัล ท่านก็ได้เผชิญกับการทรมานอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากความยึดมั่นในการศัทธา ความขัดแย้ง เกี่ยวกับอัลกุรอานที่ว่าอัลกุรอานนั้นเป็นมัคลูกหรือไม่ ซึ่งในยุดของท่านอิหม่ามอัหมัดอิบนฺหัมบัล ได้มีแนวคิดที่ถือว่า อัลกรุอานนั้นเป็นมัคลูก กล่าวคืออัลกุรอาน มีสถานภาพเช่นเดียวกับบรรดาสรรพสิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้ และได้มีผู้คนที่ยึดถือแนวคิดและทัศนะดังกล่าว แนวคิดเช่นนี้เกิดขึ้นในสมัย ของคอลีฟะฮฺ อัลมะมูน แห่งราชวงค์ อัลอับซียะฮฺ ซึงเป็นผู้ที่ยึดมั่นในแนวคิดของ มุอฺตาซิละฮฺ บุคคลซึ่งเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดที่ถือว่า อัลกรุอานเป็นมัคลูกนั้น คืออัหฺมัด อิบนฺ อบี คิอาด เขาเป็นผู้ใกล้ชิดสนิทสนมกับคอลีฟะฮฺอัลมะมูนมากที่สุด และเขายังได้รับการสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวจากบรรดาฟุกอฮะอฺทำให้อุลามาอฺและบรรดาผู้ที่มีความรู้อื่นๆ จำต้องก้มศีรษะยอมรับแนวคิดนั้นด้วยความเกรงกลัวต่ออำนาจ และ เกรงกลัวต่อการถูกทรมานหากคัดค้านหรือต่อต้าน

………แต่อิหม่ามอัหมัด ปฏิบัติตรงกันข้าม ท่านปฏิเสธ แนวคิด หรือ การศรัทธาดังกล่าวโดยไม่หวาดเกรงต่ออำนาจใด ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้อิหม่ามอัหมัด อิบนฺ หัมบัลถูกควบคุมตัวเพื่อนําไปเฝ้าคอลีฟะฮฺ อัลมะมูน แต่ในระหว่างการคุมตัวไปนั้นคอลีฟะฮฺอัลมะมูน ได้สินพระชนน์ไปเสียก่อน ท่านอิหม่ามจึงตกเป็นผู้ต้องหาที่คอยการพิจารณาจากคอลีฟะฮฺองค์ใหม่ที่จะขึ้นครองราช ก่อนที่คอลีฟะฮฺอัลมะมูนจะสิ้นพระชนน์ คอลีฟะฮฺอัลมะมูนได้สั่งเสียไว้กับ มุอฺตาศิม พระอนุชาซึ่งเป็นทายาทแห่งราชบังลังก์ให้ยึดตามแนวคิดหรือทัศนะที่ว่า อัลกรุอานเป็นมัคลูก ดังนั้นเมื่อมุตาศิมขึ้นครองเป็นคอลีฟะฮฺ ก็ได้รับสั่งให้เบิกตัวท่านอิหม่ามอัหมัดเข้าเฝ้า และได้บีบบังคับให้ท่านยอมรับแนวคิดและทัศนะว่าอัลกุรอานมีสถานภาพเป็นมัคลุค แต่อิหม่ามอัหมัดก็ยื่นยันทัศนะของท่านไม่เปลี่ยนแปลง จนในที่สุดท่านถูกลงโทษ โดยการเฆี่ยนด้วยแซ่จนกระทั้งอิหม่าม สิ้นสติไปหลายครั้ง

(ประวัติอิหม่ามทั้งสี่ดูเพิ่มเติมใน https://siammuslim.wordpress.com/2014/06/30/5ชีวประวัติของอีหม่ามท/)
สำหรับผู้รู้ร่วมสมัยในโลกมุสลิมที่เรียกร้องต่อผู้ปกครองที่อธรรมและโดนอธรรมต่างๆนานาๆ ไม่ว่าโลกอาหรับ เช่นอียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย หรือเอเชียกลางเช่นปากีสถานก็มีบันทึกทางวิชาการและสื่อ อันเป็นธรรมชาติของบททดสอบผู้รู้ทุกยุค หลัง “พูดความจริงต่อหน้าผู้นำอธรรมและเป็นกำลังใจผู้รู้ทุกท่านรวมทั้งอิหม่ามดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ

 1,537 total views,  15 views today

You may have missed