อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
# 14 กุมภาพันธ์ 2564 วันวาเลนไทน์ รัฐบาลรณรงค์ ปั้มลูก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการแถลงข่าว “Life Balance smart Family” ชีวิตสมดุล ครอบครัวคุณภาพว่า รัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมการเกิดเพิ่มขึ้นด้วยความสมัครใจอย่างมีการวางแผน มีความพร้อมในทุกด้านนำไปสู่การคลอดที่ปลอดภัย ทารกแรกเกิดมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปี พบว่า ปี 2563 จำนวนการเกิดของเด็กไทย ลดต่ำกว่า 600,000 คน เป็นครั้งแรก และมีแนวโน้มจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมค่านิยมอยู่เป็นโสด ทั้งการโสดแบบตั้งใจ และไม่ตั้งใจ แต่งงานช้า ความกังวลเรื่องคนช่วยเลี้ยงดูบุตร ความกังวลในความมั่นคงของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำให้ชะลอการมีบุตร มีบุตรน้อยลง หรือไม่ต้องการมีบุตรเลย และส่วนหนึ่งประสบกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก( อ้างอิงจาก https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2572721?fbclid=IwAR0mH4N3wcFN5W_uHh5O53VhSnq24Ft7SSS7kZDJEKMOH4cKYsKYByTcJwg)
จากวิกฤติดังกล่าวทำให้โปรโมชั่น หนุนคน ‘ปั๊มลูก’ จากรัฐบาลไทยช่วงวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ดังนี้
.
– จัดมีตติ้งคนโสด
– แจกคูปองตรวจสุขภาพก่อนมีลูก
– แจก ‘ธาตุเหล็กและโฟลิก’ ช่วยเตรียมความพร้อมให้ว่าที่คุณแม่
– เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด (ที่มา:กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย,สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
– BBC Thai- Amarin TV- Thairath- The Standard จาก https://www.facebook.com/494189467277672/posts/4235641289799119/?d=n)
# 50 ปีที่แล้ว “นโยบายคุมกำเนิด ครอบครัวหนึ่ง มีลูกได้1-2คน”
เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วผู้เขียนเรียนในโรงเรียนบ้านนา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาในระดับประถมศึกษายังจำได้ดีว่า คุณครู ย้ำนโยบาย “การวางแผนครอบครัวมีความจำเป็น” หากผู้ปกครองมีลูกมากก็จะยากจน ตามป้ายต่างๆ ที่ชุมชน จะเขียนว่า “หญิงก็ได้ชายก็ดี มีแค่สอง” หากกลับไปดูนโยบายวางแผนครอบครัวแห่งชาติในปี พ.ศ.2513 (ปีนี้2564 ) ทำเพื่อควบคุมจํานวนประชากรและจํากัดขนาดของครอบครัวซึ่งมีหน่วยงานและองค์กรหลายภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขโดยกองอนามัยครอบครัว ได้รับมอบหมายให้ดําเนินการตามโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติและดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือด้วย
องค์กรภาคเอกชนที่เข้ามามีบทบาท เช่น สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมาคมทําหมันแห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน รวมไปถึงกลุ่มร้านขายยา คลินิก โรงพยาบาลเอกชน และบริษัทผลิตยาคุมกําเนิดภายในประเทศ
องค์กรดังกล่าวทําหน้าที่ทั้งเผยแพร่ความรู้ กระตุ้นให้ประชาชนรู้จักและตื่นตัวในเรื่องการวางแผนครอบครัวผ่านสื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งให้บริการวางแผนครอบครัวเสริมการบริการที่กระทําโดยภาครัฐ
ส่วนบทบาทของรัฐนั้น ได้จัดการให้การบริการวางแผนครอบครัวกระจายเข้าไปอยู่ในโครงสร้างการบริการเดิมของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลจังหวัดให้บริการคุมกําเนิดด้วยการทําหมันหญิง-ชาย การใส่ห่วงอนามัย ยาเม็ดคุมกําเนิด และถุงยางอนามัย และในภายหลังก็เพิ่มการคุมกําเนิดด้วยการใช้ยาฝังคุมกําเนิด โรงพยาบาลอําเภอให้บริการในลักษณะเดียวกันกับโรงพยาบาลจังหวัด ส่วนสถานีอนามัยระดับตําบลในปี พ.ศ. 2513 มีอยู่ราว 2,000 แห่งที่ให้บริการยาเม็ดคุมกําเนิดและถุงยางอนามัย และในอีก 20 ปีต่อมาได้ให้บริการดังกล่าวเพิ่มเป็น 8,000แห่ง และยังเพิ่มการให้บริการห่วงอนามัยและยาฉีดคุมกําเนิดอีกด้วย
(อ้างอิงและอ่านเพิ่มเติมใน https://www.hfocus.org/content/2017/05/13870)
สำหรับคนดังระดับรัฐมนตรีที่ทำให้โลกยกย่องต่อนโยบายนี้ขณะนั้นก็คือ “ดร.มีชัย วีระไวทยะ “
ปี 2517 ดร.มีชัย ตัดสินใจก่อตั้งสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนโดยเริ่มใช้วิธีที่นอกรีตในขณะนั้น เพื่อให้ความรู้กับผู้คนในสังคมไทยรณรงค์การใช้ถุงอนามัย สำหรับคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จนได้รับรางวัลมากมาย”
(ดูเพิ่มเติมประวัติดร.มีชัยใน https://www.thairath.co.th/person/1677)
นโยบายดังกล่าวเริ่มส่งสัญญาณถึงจำนวนประชากรไทยเมื่อ 10 กว่าที่ผ่านมาผู้เขียนเป็นผู้ประเมินโรงเรียนในจังหวัดต่างๆในภาคกลางพบว่า ในแต่ละโรงเรียน สถิติจำนวนนักเรียนเริ่มลดลงทุกปี บางชั้นมีนักเรียนไม่ถึงสิบคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายๆโรงเรียนในประเทศไทยจะต้องถูกยุบรวมหรือปิดไป
ในขณะที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส สถิติกลับสวนทาง มีจำนวนนักเรียนและโรงเรียนเพิ่มขึ้น บางโรงเรียนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไม่ต่ำกว่า 500 คน แต่เฉลี่ยต่อโรง 100 คน ที่อยู่ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม กว่า 200 โรงเรียน(โรงเรียนของผู้เขียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ มีนักเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่6 150 คนปีนี้)ซึ่งนักเรียนเหล่านี้จบออกไป ก็ไปต่อยอดในระดับมหาวิทยาลัยไม่เพียงแต่ในพื้นที่แต่กระจายไปทั่วประเทศไทยมากขึ้นทุกมหาวิทยาลัยช่วงสามสี่ปีหลังนนี้ในขณะที่หลายมหาวิทยาลัยนอกจากสามจังหวัดชายแดนใต้มีจำนวนนักศึกษาลดลงอย่างน่าใจหาย
สำหรับประเทศไทยถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ประชากรวัยทำงานจะลดน้อยลง ในขณะที่สัดส่วนประชากรสูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในอนาคต คนจึงมีแนวโน้มว่าต้องเกษียณช้าลงจากการขาดแคลนแรงงานซึ่งประเทศไทยประกาศยืดอายุเกษียณไปแล้วและส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจซึ่งย้อนแย้งกับแผนการ 50 ปีที่ผ่านมา
#แผนการของอัลลอฮฺ
สวยงามเสมอ 💖
อัลลอฮ์ได้โองการ
وَمَكَرُواْ وَمَكَرَ اللّهُ وَاللّهُ خَيْرُ الْمَاكِرِينَ
และพวกเขาได้วางแผน และอัลลอฮฺก็ทรงวางแผนด้วย และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงวางแผนที่ดีเยี่ยม(อาลิอิมรอน :54)
1,323 total views, 15 views today
More Stories
SEC ภาคใต้กับSEA สงขลา-ปัตตานี
สู่พรบ.สันติภาพ เพื่อประกันกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
ฮัจญ์ไทยในภารกิจทูตสันติภาพใน 3 ภารกิจ จชต.