เมษายน 25, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

มุมมองจากนายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า หัวใจของความสำเร็จพิชิตโควิด-19

แชร์เลย

“นึกเสมอว่า ทุกคนเป็นโรคนอกจากเรา ดังนั้น เราต้องปกป้องตัวเองไว้โดยการใส่หน้ากาก และทุกคนเป็นคนปกตินอกจากเราที่เป็นโรค ดังนั้น เราต้องไม่ไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการใส่หน้ากาก”
วันนี้เคสโคโรน่าถึง 5 ล้านคนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 พค โดยใช้เวลาเพียง 11 วัน จากล้านที่ 4 อัตราขึ้นถึงล้านเท่ากับล้านที่ผ่านมาคือ 11 วัน จากเดิม จาก 2 ล้านมา 3 ล้านใช้เวลา 12 วัน จาก 1 ล้านมา 2 ล้านใช้เวลา 13 วัน และตัวเลขล่าสุดคือเมื่อเช้านี้ ขึ้นวันละ 1 แสน แสดงว่า ล้านที่ 6 จะเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึง 10 วัน น่าจะเป็นวันที่ 29-30 พค นี้ (9-10 วัน) แสดงว่า ทั้งโลกโดยรวมยังอยู่ในขาขึ้น แต่ส่วนมากแล้วเป็นโซนยุโรป กับอเมริกาเป็นหลัก ตามด้วย อาฟริกา ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นคนติดเชื้อ 10 ล้านคนเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือธรรมชาติของโรคระบาดที่รุนแรง เมื่อเกิดขึ้นเราไม่มียารักษาที่ได้ผลดีนอกจาก การแยกตัว อยู่ห่างๆกัน และการใส่หน้ากาก การล้างมือเท่านั้นที่จะช่วยได้

แต่การกระทำเช่นนี้ต้องแลกมาด้วย การลดกิจกรรมอย่างหนัก ทำให้เกิดความทุกข์ยากทางด้านเศรษฐกิจ คนจะอดตายพอๆกับติดโรคตาย ดังนั้น การฉวยโอกาส เปิดเมืองเป็นบางช่วง เพื่อให้เศรษฐกิจไปได้ เพื่อผ่อนคลายแรงกดดันจากประชาชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดอัตราการอดตายจากไม่มีเงิน ไม่มีงานลง
ประเทศที่คุมโรคระบาดยังไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดี แต่จำเป็นต้องเปิดเมืองเพราะประชาชนลำบากจากภาวะเศรษฐกิจ จะพบกับการกลับมาระบาดของโรคใหม่อย่างรวดเร็ว และจำเป็นต้องปิดเมืองอีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกนี้ หนทางข้างหน้าคือ หายนะของประเทศ
ประเทศที่คุมโรคระบาดได้ดีแล้วจึงเปิดเมือง จะทำให้การเปิดเป็นไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ มีช่วงเวลา และขั้นตอนให้ประชาชนได้เรียนรู้ และฝึกการอยู่ร่วมกันแบบปลอดภัย เพื่อที่จะได้เปิดประเทศได้นานๆ ความลำบากทางเศรษฐกิจจะผ่อนคลายลง และเมื่อเวลานานพอ พวกเขาจะสะสมเสบียงได้อีกครั้ง ซึ่งก็จะพอดีกับการระบาดรอบใหม่ พวกเขาก็พอที่จะกลับมานอนอยู่บ้าน จำศีลอีกครั้งได้
ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงโรคสงบควบคุมได้อยู่ และสิ่งที่เราทำคือ ค่อยๆผ่อนคลายทีละน้อย มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ 2 อาทิตย์ จนถึงระดับปกติ ประมาณ กลางเดือน มิถุนายน และที่ผ่านมาเราสามารถผ่อนคลายได้ถึง 2 ระยะ และมีแนวโน้มจะผ่อนคลายระยะที่ 3 ภายในอาทิตย์หน้า ซึ่งแต่ละการผ่อนคลายจะทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มได้มีงานทำ มีเงินใช้ จากกิจกรรมที่มากขึ้นได้ แต่ก็ต้องด้วยความระมัดระวัง


แต่อย่างไรก็ตามแค่ระดับ 3 ยังไม่เพียงพอ เพราะเศรษฐกิจของเราส่วนหนึ่งขึ้นกับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนถึง 35 ล้านคน ในปีที่ผ่านมา เท่ากับ ครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศไทย ดังนั้นเราจึงสามารถคาดเดาได้ทันทีว่า การที่นักท่องเที่ยง 35 ล้านคนไม่มา มันจะมีเม็ดเงินมหาศาลขนาดไหนหายไปจากระบบเศรษฐกิจของเรา มันจะมีคนกี่คน บริษัทกี่บริษัทที่ทำงานอยู่กับพวกนี้ และขาดรายได้ไป และกำลังจะอดตาย
ดังนั้นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังทำ และคนไทยทั้งหมดต้องช่วยกันเดินให้ถึงคือ เราต้องไปถึงจุดที่สามารถเปิดประเทศหมดได้ โดยที่จำนวนคนไข้ไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เป็นหลักสิบ ไม่ถึงหลักร้อย เมื่อถึงจุดนั้น คนไทยที่เหลืออยู่จะมีงานทำ ได้เงินกลับคืนมา พอที่จะเก็บเงินบางส่วนเอาไว้เตรียมตัวสำหรับการปิดเมืองต่อไปในคราวหน้า
การเปิดระดับ 4 อาจจะได้เพียง 2-4 อาทิตย์ แม้ไม่มาก แต่ก็น่าจะเพียงพอพอสมควร ไม่ถึงตาย แค่น้ำหนักลด
การที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้มีทางเดียว “นึกเสมอว่า ทุกคนเป็นโรคนอกจากเรา ดังนั้น เราต้องปกป้องตัวเองไว้โดยการใส่หน้ากาก และทุกคนเป็นคนปกตินอกจากเราที่เป็นโรค ดังนั้น เราต้องไม่ไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการใส่หน้ากาก”
นี่คือหัวใจของความสำเร็จ ถ้าทำได้ อัตราความทุกข์ยากและเสียชีวิตของคนไทยในสงครามโรคครั้งนี้จะน้อยกว่า ประเทศอื่นๆ และเราจะมีความสุขร่วมกันทุกคน ถ้าเราร่วมมือกันทำ อินชาอัลลอฮ์
สำหรับพี่น้องไทยมุสลิม เราก็มีภารกิจทางศาสนาที่ค่อยๆผ่อนคลายทีละน้อย ๆ ซึ่งเราก็ต้องดำเนินกิจกรรมทางศาสนาแบบนี้ไปก่อน คือไปมัสยิดได้ในวันศุกร์ แต่ก็ต้องด้วยการยืนห่าง ใส่หน้ากาก และในที่สุด จะค่อยๆมีการผ่อนคลายถึงการละหมาดฟัรดู 5 เวลาในมัสยิด การเอี้ยะติกาฟ ในมัสยิด
ที่ผ่านมา มีมัสยิดไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ทำได้ แต่ก็ทำได้อย่างดีประเมินแล้วผ่าน ไม่มีการติดเชื้อเพิ่มซึ่งผมขอชมเชย มัสยิดเหล่านี้ที่กล้าหาญ และมีความสามารถในการจัดการ และในขณะเดียวกันขอยกย่องมัสยิดที่ไม่ทำ เพราะรู้ตัวว่าทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำแล้วเกิดปัญหา ขอขอบคุณที่ท่านยอมไม่ทำเพื่อส่วนรวมของเรา
มัสยิดที่เหลือ และพอมีศักยภาพแต่ยังไม่กล้าก็ต้องเรียนรู้ และทำตามผู้ที่ทำมาก่อนแล้ว และในที่สุดท่านก็จะทำได้เช่นกัน
ถ้าเราทำได้ดีไม่มีปัญหาการผ่อนคลายก็จะมากขึ้นจนถึงขั้นการละหมาดฟัรดู 5 เวลาในมัสยิด การเอี้ยะติกาฟ ในมัสยิด
“แต่จะไม่มีการยืนชิดกันและอยู่ใกล้ชิดกันในมัสยิดอย่างเด็ดขาด “

ดังนั้นผู้ที่ต้องยืนชิดจึงจะละหมาดได้ ก็คงต้องรอไปก่อนจนกว่า จะถึงเวลาโรคสงบทั้งหมดนั่นคือหลังจากมีการฉีดวัคซีนแล้วทั่วโลก ซึ่งน่าจะเป็นประมาณ กลางๆปีหน้า อินชาอัลลอฮ์
ส่วนผู้ที่ไปละหมาดและยืนห่างได้ ก็จะได้ทำละหมาดในมัสยิดอย่างสมบูรณ์ในเวลาอีกไม่นานนัก ขอให้อดทนไปมัสยิดโดย ทำตามมาตรการที่จุฬาราชมนตรี และทางการแพทย์ได้กำหนดไว้ อย่างเคร่งครัด อย่าให้ขาดตกบกพร่อง
ใครทำไม่ได้ หรือย่อหย่อน อยากจะทำแบบตามใจตัวเอง อย่าไป อย่าทำ เพราะนั่นเท่ากับท่านกำลังนำความเสี่ยงมาสู่เพื่อนพี่น้องมุสลิม พี่น้องชาวไทย ท่านมีการโดนด่าว่าประณามกันท่านจะแบกความรับผิดชอบไม่ไหว

 708 total views,  2 views today

You may have missed