เมษายน 29, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

เครือข่ายปกป้องอัตลักษณ์และสนับสนุนการพูดคุย (The Peace) ออกแถลงการณ์ กัญชง กัญชา อย่างมีสติ มีพิจารญาณ อย่าเหมารวม สร้าง”ฟิตนะ” ทางลบให้สังคม ฯลฯ

แชร์เลย

 

แถลงการณ์
เครือข่ายปกป้องอัตลักษณ์และสนับสนุนการพูดคุย (The Peace)

เรื่อง ความเห็นของ The Peace ต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยกับ พรบ.กัญชง กัญชา พรบ.สุราก้าวหน้า และพรบ.สมรสเท่าเทียม-คู่ชีวิต

ตามที่ได้มีข้อวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มคนมุสลิมบางกลุ่มบางองค์กรที่ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมาย พรบ.ว่าด้วยกัญชง กัญชา โดยเสียงข้างมากของ ส.ส. จากจำนวนเสียงทั้งหมด 500 เสียงในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจต่อการทำความเข้าใจถึงปัจจัยซึ่งเป็นแรงขับสำคัญของท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของกลุ่มคนและองค์กรดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญมาก ว่าอะไรคือหลักการที่เป็นเหตุผลหลักสำคัญที่ใช้ในการสนับสนุนท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของพวกตน

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 ทางสมาพันธ์คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดชายแดนภาคใต้ (PERMAI) ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนและท่าทีว่า สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่อาจปฏิบัติตาม พรบ.3 ฉบับ ซึ่งได้รวมเอา พรบ.สุราก้าวหน้า กับ พรบ.สมรสเท่าเทียม – คู่ชีวิต มาอยู่ในสถานะเดียวกันกับ พรบ.กัญชง กัญชา

ทั้งนี้ตามหลักของสถานะทางกฎหมายอิสลามโดยการฟัตวาของสำนักจุฬาราชมนตรีตามที่แถลงการณ์ของสมาพันธ์ฯได้อ้างถึง และโดยการฟัตวาของผู้รู้ศาสนา (อูลามา) ท่านบาบอแอ สปันญัง ได้ออกฟัตวาเกี่ยวกับเรื่องกัญชง กัญชา นั้น มีนัยยะไปในทางไม่ได้มีสถานะเดียวกันกับเรื่องสุราและเรื่องของสมรสเพศเดียวกันในทางกฎหมายอิสลามอย่างชัดเจน

กล่าวคือกัญชง กัญชา จะมีสถานะเป็นที่ต้องห้ามหรือฮารามได้ก็ต่อเมื่อขึ้นอยู่กับวัตุถุประสงค์และการนำไปใช้ ไม่ได้มีสถานะต้องห้ามหรือฮารามโดยตรงที่ตัวของกัญชาเองแต่อย่างใด

หากมีวัตถุประสงค์และการนำไปใช้เพื่อการสันทนาการด้วยความมึนเมานั้น กัญชง กัญชาก็จะมีสถานะฮารามหรือไม่เป็นที่อนุญาตได้ตามหลักกฎหมายอิสลาม ในขณะเดียวกันหากนำไปใช้ในทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บนั้น กัญชง กัญชาก็จะมีสถานะฮาลาลหรือเป็นที่อนุญาตได้ตามกฎหมายอิสลาม ซึ่งหากเทียบกับสถานะของเรื่องสุราและเรื่องของการสมรสเท่าเทียมในเพศเดียวกันนั้น จะเห็นได้ว่ามีสถานะที่ต่างกันตรงที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการนำไปใช้ กล่าวคือสุรานั้นเป็นที่ต้องห้ามที่ตัวสุราเองโดยตรง และการสมรสระหว่างเพศเดียวกันก็เป็นที่ต้องห้ามโดยตรงว่ากรณีที่เป็นเพศเดียวกันนั้นจะสมรสเป็นคู่ชีวิตไม่ได้ ทั้งคู่ก็มีสถานะฮารามหรือไม่เป็นที่อนุญาตให้ได้ตามหลักกฎหมายอิสลามด้วยตัวของมันเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการนำไปใช้เหมือนกับกรณีของกัญชง กัญชา แต่อย่างใด

อนึ่งเจตนารมณ์ของ พรบ.ทั้ง 3 ฉบับนั้น ไม่ได้มีที่มาจากฐานคิดของ ส.ส.ที่นับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งเสียงข้างมากของ ส.ส.ในจำนวน 500 เสียงในสภาฯก็ไม่ได้เป็นเสียงของ ส.ส.ที่นับถือศาสนาอิสลามแต่อย่างใด อีกทั้งสถานะทางกฎหมายของ พรบ.ทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวนั้น ไม่ได้มีเจตนารมณ์จะบังคับให้ประชาชนทั่วไปหรือประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

หากแต่มีเจตนารมณ์ให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนทุกศาสนาสามารถนำมาสนองความต้องการของตนได้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณหรือความเชื่อหรือศาสนาของแต่ละคนอย่างเสรีในความหมายที่ไม่ผิดต่อหลักกฎหมายของบ้านเมือง ซึ่งสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น การฟัตวาของสำนักจุฬาราชมนตรีและบาบอแอ สปันญัง นั้น มีความชัดเจนแน่แท้อยู่แล้ว

ฉะนั้นแล้วขอเรียกร้องให้กลุ่มคนหรือองค์กรใดๆที่นับถือศาสนาอิสลามและมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับ พรบ.กัญชง กัญชา ควรพึงระวังในการยกหลักกฎหมายอิสลามมาอ้างอิงสนับสนุนท่าทีที่ไม่เห็นด้วยของตนอย่างเหมารวมควบเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมดกับกรณีของสิ่งต้องห้ามอื่นๆ จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เพราะจะส่งผลทำให้เกิดฟิตนะห์ (การใสร้าย) ในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ (ซ.บ.) ไม่โปรดปรานและไม่อนุญาตให้กระทำได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ทั้งนั้นหากว่ากลุ่มคนหรือองค์กรมุสลิมดังกล่าวมีความต้องการที่ไม่อยากให้กฎหมายที่ออกมาจากที่มาของระบบรัฐสภาไทยที่ยึดหลักเสียงข้างมาก ซึ่งในความเป็นจริงจำนวน ส.ส.ที่มาจากสัดส่วนของจำนวนประชาชนทั้งประเทศนั้นส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ได้สวนทางกับเจตจำนงทางการเมืองที่คาบเกี่ยวเฉพาะโดยตรงกับหลักกฎหมายของศาสนาอิสลามแล้วนั้น แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ในทางปฏิบัติที่จะสอดคล้องถูกใจประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งเป็นสัดส่วนเสียงข้างน้อยของประชาชนทั้งหมดของประเทศไทย นี่คือสภาพความเป็นจริงของบริบทโครงสร้างการเมืองการปกครองของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและในอนาคตยาวๆเลยก็ว่าได้

อย่างไรก็ตามหากว่ากลุ่มคนหรือองค์มุสลิมดังกล่าว มิสามารถที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการสนองซึ่งเจตจำนงทางการเมืองที่คาบเกี่ยวกับหลักกฎหมายอิสลามของพวกตนดังกล่าว จะด้วยเหตุผลประการใดก็สุดแล้วแต่นั้น

ทางเครือข่ายปกป้องอัตลักษณ์และสนับสนุนการพูดคุย (The peace) ขอแนะนำว่าให้ใช้พลังของเจตจำนงทางการเมืองดังกล่าวในวิธีการที่พอจะมีโอกาสที่จะเป็นไปได้บ้าง นั่นก็คือด้วยการให้ความร่วมมือสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองเฉพาะพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ปกครองตนเองแบบพิเศษภายใต้รัฐธรรมนูญจะเป็นการดีกว่าหรือไม่

เพราะเมื่อมีการปกครองตนเองแบบพิเศษขึ้นมาที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เจตจำนงทางการเมืองซึ่งคาบเกี่ยวกับหลักกฎหมายของศาสนาอิสลามที่คาดหวังให้มีกฎหมายบ้านเมืองรองรับนั้น ก็จะสามารถกระทำได้จริงในทางปฏิบัติโดยทันทีนั่นเอง และการใส่ร้ายกันหรือฟิตนะห์ในสังคมมุสลิมโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นมุสลิมที่ดีในบ้านเมืองควรปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้กับประชาชนมุสลิม โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นอนาคตของชาติบ้านเมือง นั่นก็คือบรรดาลูกหลานที่เป็นเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ นั่นเอง
.
แถลงการณ์
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565

 21,845 total views,  2 views today

You may have missed