มีนาคม 28, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

รายงานพิเศษ…ตอบข้อเรียกร้อง ต่อจุฬาราชมนตรี กรณีไม่เอามัสยิด (ตอนที่ 3 ข้อที่ 3)

แชร์เลย

โดย..สมเดช มัสเเหละ..

.

ผมขอเรียนกับทุกท่านว่า ที่ผมจำเป็นต้องหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาตอบ เป้าหมายจริงไม่ได้คิดจะตอบองค์กรที่ร้องเรียนมากนัก เพราะถึงอย่างไรท่านก็คงไม่รับฟังอยู่แล้ว

ผมตอบในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง คนไทยคนหนึ่ง และคนที่มีศาสนาคนหนึ่ง ตอบเพื่อทำความเข้าใจกับทุกท่าน ข้อเขียนผม ไม่ได้เข้าทางมุสลิม หรือโจมตีความเชื่ออื่นๆ แต่เน้นทำความเข้าใจ และชี้แจงข้อเท็จจริงว่าควรเป็นเช่นใด

ส่วนผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ผมเคารพทุกๆความเห็น ที่มีเหตุผล สุภาพ ให้เกียรติกัน ส่วนความเห็นที่ก้าวร้าวรุนแรง หมิ่นประมาท เจ้าของความเห็นต้องรับผิดชอบเอง…

ข้อเรียกร้องของ เลขาธิการ อปพส.ข้อต่อมาคือ…

3. ขอให้ช่วยปราม!อิหม่ามและผู้นำศาสนาบางคน ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์และปลุกปั่นเยาวชนให้เกลียดชังแผ่นดินไทยมายาวนาน!ให้หยุดการกระทำด้วย

ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย ที่ใครก็ตาม ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สยามประเทศ…. กว่าแผ่นดินนี้จะมั่นคงยืนยงมาถึงทุกวันนี้ หากแผ่นดินยังคงมีสีอยู่ แน่นอนหนึ่งในสีนั้นคือสีแดงของเลือด และเลือด มันส่วนผสมของเลือดทุกความเชื่อ และชาติพันธุ์

หากไม่บิดเบือนประวัติศาสตร์ เลือดนั้นคือเลือดคนมุสลิมด้วยแน่นอน ตั้งสมัยกรุงศรียุธยาเป็นราชธานี พระเจ้าทรงธรรมทรงปกครองบ้านเมือง ก็ปรากฎในหน้าประวัติศาสตร์ว่า มุสลิมร่วมรับใช้ใกล้ชิด ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ บรรดาทหารคู่พระทัยพระเจ้าแผ่นดินที่ใกล้ชิด คือขุนพลมุสลิม มันคงไม่มีเหตุผล อะไรที่มุสลิมจะไม่รักประเทศไทย เพราะบรรพชนเรา เสียสละชีวิต และเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินนี้

หากประวัติศาสตร์ที่ว่านี้คือประวัติศาสตร์ของปัตตานี ประเด็นนี้คงต้องถามนักประวัติศาสตร์ว่า ได้เขียนประวัติศาสตร์ไว้อย่างไร มีคำพูดว่า “ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์” ประวัติศาสตร์ปาตานีก็เช่นกัน มันเกิดชุดประวัติศาสตร์ 2 ชุด ชุดหนึ่งเขียนโดยผู้ชนะ อีกชุดหนึ่งเขียนโดยผู้แพ้ แน่นอนทั้งสองชุดต้องต่างกันราวฟ้ากับดิน

ในเมื่อเรายอมรับว่า ในแผ่นดินปลายด้ามขวาน มันมีขบวนการต่างๆอยู่ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่เข้มข้น หรือมีแอบแฝง แต่เขาก็เลือกใช้ชุดประวัติศาสตร์ของผู้แพ้

ทำไมประวัติศาสตร์ของผู้แพ้ได้รับการยอมรับ มันก็ต้องย้อนไปที่อดีตในยุคนักล่าอาณานิคม ยุคขบวนการมลายูเสรี(ที่สนับสนุนโดยตะวันตก) รวมทั้งในยุค “นิยมไทย” สมัย จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ยุคนั้นอย่าว่าแต่คนมลายูเลย คนไทยก็ถูกจัดระเบียบค่านิยมใหม่ โดยใช้คำว่า “ไทย” แต่พยายามลบล้างอัตลักษณ์ของตัวเอง เช่น การแต่งกาย กลับไปเลียนแบบตะวันตก

ในเมื่อคนไทยแท้ๆยังถูกการจัดระเบียบนี้จนเกิดขบวนการต่อต้านรัฐเอง ถามว่าคนมลายู ที่รัฐสมัยนั้นพยายามที่จะลบชาติพันธุ์ อัตตลักษณ์ของพวกเขาออกไป ….

ท่านอย่าลืมว่าการลบในตอนนั้น มิใช่การห้ามกินหมาก ห้ามนุงโจงกระเบน นะ…การห้ามที่นำมาใช้กับคนมลายูเป็นการห้ามแบบกดขี่ ดูถูก และที่สำคัญอัตตลักษณ์ของพวกเขา มันผูกพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาด้วย

ตรงนี้มันยิ่งส่งเสริมให้ขบวนการนำข้ออ้างชุดประวัติศาสตร์ของผู้แพ้มาปุกปั่นมากขึ้นไปอีก…

อย่าลืมนะครับ…ชุดประวัติศาสตร์ของผู้แพ้ เขาบันทึกจากข้อเท็จจริง ไม่ได้เขียนมาแบบให้ผู้ชนะดูดี ถูกทุกเรื่อง…ลองกลับไปดูประวัติศาสตร์พม่า ลาว เขมรสิ ของเขากับของเราต่างกันสิ้นเชิง

ผมเคยคุยกับคนเขมร ถึง “เสียมเรียบ” คนเขมรเขาบอกว่าอย่าโกรธเขานะ เสียมเรียบ จริงๆมันคือสยามเรียบ หรือสยามราบเรียบนั้นแหละ

หากเราคุยกันถึงประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง อย่าใส่สีตีไข่ ปาตานีก็แพ้สงครามสยาม มันก็เรื่องจริง แต่เมื่อแพ้แล้วมันเป็นอย่างไรต่อไป ก็ว่ากันไป

สำหรับพวกเรา ถือว่าการแพ้สงครามเป็น “ตักดีร” กำหนดของพระผู้เป็นเจ้า มันคือเรื่องปกติ ไทยก็เคยแพ้พม่า คนไทยก็เคยถูกกวาดต้อนไปพม่า ปาตานีแพ้สงคราม คนมลายูจะถูกกวาดต้อนมาบางกอก มันก็คือผลของสงคราม

แต่ถ้าถามกันจริงคนมลายูยากมาบางกอกไหม ตอบได้เลยว่าไม่อยากมาแน่นอน โดยเฉพาะการมาในสภาพเชลย แต่ต้องถามว่าแล้วใครพาบรรพชนเหล่านั้นมาละครับ…????

สำหรับพวกเราตอบได้เลยว่า เราไม่เคยโกรธแค้นใดๆ เราต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เราต้องอยู่เพื่อสร้างสรรค์

มันอาจจะมีบ้างที่อารมณ์ในเชิงประวัติศาสตร์ยังตกค้าง แต่ส่วนมากคนในสามจังหวัดชายแดนใต้ เขารับรู้ถึงการใส่ใจในวิถีชีวิต โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์มีโครงการพัฒนาหลายๆโครงการในพื้นที่สามจังหวัด

ส่วนเรื่องการยุยงให้เกลียดชังแผ่นดิน มันอาจจะหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนมากเป็นพวก “อีแอบ” ที่อาศัยเหตุการณ์เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง

หากจะเอาประเด็นเกลียดชังแผ่น มาบอกว่า อิหม่ามและผู้นำศาสนาบางคน บิดเบือนประวัติศาสตร์และปลุกปั่นเยาวชนให้เกลียดชังแผ่นดินไทย…

ผมมีคำถามต่อไปว่า แล้วที่มีคนบางกลุ่มที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ และปลุกปั่นให้คนเกลียดกัน บิดเบือนโจมตีสถาบันหลักของชาติ จะแยกภาคแยกแผ่นดิน มันไม่ผิดหรือ..? ทำไมจะต้องมาผิดเฉพาะคนในสามจังหวัดชายแดนใต้

หากท่านจะบอกว่าที่สามจังหวัดชายแดนใต้มีเหตุการณ์ไม่สงบ ..แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ชักใย ถ้าไม่ทราบก็ลองหาหนังสือเรื่อง “ดับฝันมายาวี” มาอ่านท่านอาจจะพบคำตอบของเรื่องนี้

การที่จะให้ท่านจุฬาราชมนตรี ช่วยปราม!อิหม่ามและผู้นำศาสนาบางคน ไม่ทราบว่าคือใคร เพราะเท่าที่ติดตามดู อิหม่ามและผู้นำศาสนาบางคน ภายใต้การปกครองของท่านจุฬาราชมนตรี ก็ไม่มีใครประพฤติอย่างนี้ แต่ถ้ามีผมเชื่อว่าท่านจุฬาราชมนตรี ต้องปรามแน่นอน และมุสลิมส่วนมากก็ไม่เห็นด้วย

ส่วนถ้ามีใครปลุกปั่นให้เกลียดชังแผ่นดินไทย ผู้นั้นก็ทำผิดกฎหมาย แจ้งความดำเนินคดีได้เลย

ประเด็นข้อนี้ มันไม่ได้เกิดเฉพาะอิหม่ามและผู้นำศาสนาบางคนหรอก ใครก็ไม่รู้ในประเทศไทยอีกหลายๆคนก็เป็นอยู่

ผมว่าอย่าไปกลัวประวัติศาสตร์เลย อันไหนข้อเท็จจริงก็นำขึ้นมา ถ้าเป็นมุมที่ดีก็ให้ทุกคนนำมาเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเป็นมุมไม่ดี ก็ให้เป็นบทเรียน….ก็เท่านี้

 1,381 total views,  4 views today