มีนาคม 29, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

แก้ปัญหาไฟใต้ “จากรากเหง้า”

แชร์เลย

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน

 

หลังจากผู้เขียนเขียบบทความหลังเหตุการณ์ที่ลำพะยาเรื่องนอกจากประณาม !!ต้องค้นหาความจริง กรณียิงถล่ม ชรบ.ตายหมู่
(โปรดดูhttp://spmcnews.com/?p=21693)
และผู้เขียนให้สัมภาษณ์บีบีซีภาคภาษาไทยโดยตั้งข้อสังเกตว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ระดมกำลังออกเก็บประวัติและเก็บดีเอ็นเอของชาวบ้านในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจมีผู้ที่อึดอัดและไม่พอใจที่ถูกกระทำราวกับเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนประเด็นที่ ชรบ. ตกเป็นเป้าถูกโจมตีนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ชรบ. ถูกผู้ก่อความไม่สงบมองว่าเป็นสายให้ทหารและตำรวจรวมทั้งมีอาวุธ ดังที่เพจผู้เห็นต่างจากรัฐได้สื่อว่า “
ชรบ. คือพลเรือนที่รัฐสยามไทยติดอาวุธ โดยหลักกฏหมายมนุษยธรรมสากลหรือกฏหมายสงคราม IHL แล้ว เมื่อพลเรือนที่ถูกติดอาวุธ พลเรือนผู้นั้นไม่ใช่พลเรือนอีกต่อไป แต่เขาเป็นพลรบโดยสถานะ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เมื่อเขาติดอาวุธในพื้นที่ความขัดแย้งทางอาวุธแล้ว ก็แปลว่าเขาพร้อมรบ หรือเขาเป็นผู้เข้าร่วมโดยตรงในการสู้รบ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Directly Participant in Hostilities.
—————————————

“คนเห็นต่างจากรัฐที่ใช้อาวุธ มองว่ามีความชอบธรรมที่จะต่อสู้กับ ชรบ. เพราะ ชรบ. มีอาวุธ เขาไม่ได้มองว่า ชรบ. เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ผู้ก่อเหตุเห็นว่า ชรบ. เป็นคนของรัฐ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เป็นกลุ่มคนที่เข้าไปอยู่ในความขัดแย้งแล้ว จึงมีความชอบธรรมที่จะต่อสู้แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าการโจมตีก็ต้องดูว่า ชรบ. เขาต่อสู้หรือเปล่า ถ้าเขาเฝ้าเวรยามอยู่ในจุดตรวจของเขา ผู้ก่อเหตุก็ไม่มีความชอบธรรมที่ไปต่อสู้”โปรดดูใน https://www.bbc.com/thai/thailand-50329917

หลังจากนั้นผู้เขียนขอเสนอเพิ่มเติมคือการแก้ปัญหาจากรากเหง้า กล่าวคือถ้าต้องแก้ปัญหาใต้อย่างยั่งยืน นั้นจะต้องเปิดพื้นที่ทางการเมือง ให้การเมืองภาคประชาชนได้ขับเคลื่อน ทหารต้องไม่ทำทุกเรื่องรวบอำนาจทั้งงบประมาณบุคลากร ถอยจากการเมือง การปกครอง ต้องเดินตามมาตรฐานประชาธิปไตยอย่างโปร่งใส เป็นธรรมตรวจสอบได้ควบคู่กระบวนการยุติธรรมมาตรฐานสากลภายใต้หลักสิทธิมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอาจเป็นนามธรรมแต่นี่คือการแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องอยู่บนสักหลักที่มาตรฐาน
นักวิชาการมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า No Justice No Peace ซึ่งสะท้อนว่าความอยุติธรรมจะเป็นน้ำมันเครื่องล่อเลี้ยงอย่างดีในการสุ้มไฟใต้ ให้เกิดกองใหม่ตลอด เมื่อดับไฟกองหนึ่ง ก็จะเกิดไฟอีกกอง ความอยุติธรรมดังกล่าวนั้นเกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้มาตรฐานสากล หากจะดูข้อเสนอแนะต่อเรื่องนี้ที่ครบวงจรที่สุดคือข้อเสนอของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีดังนี้
1. เคารพยึดถือปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรม เพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านความยุติธรรมได้ ทั้งในทางแพ่ง อาญา และปกครอง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษหรือกฎหมายอื่นใด เช่น สิทธิของผู้ถูกควบคุมตัวในการที่จะได้รับการเยี่ยมเยียนจากญาติพี่น้อง ปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว ไม่ถูกทรมาน บังคับขู่เข็ญ สิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกตรวจดีเอ็นเอ โดยไม่เต็มใจ หรือกระทำการด้วยประการใดใด ในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทั้งให้ศาลสามารถตรวจสอบการกระทำของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิผลตามหลักนิติธรรม
(เพิ่มเติม)กล่าวคือขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination – CERD) หลายกรณีภาคใต้มีการละเมิดและไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination – CERD) ซึ่งไทยเป็นภาคีสมาชิก เช่น การซักถามผู้ต้องสงสัยในศูนย์วักถาม ภายใต้กฎหมายพิเศษซึ่งเอื้อต่อการซ้อมทรมาน การบังคับใช้กฎหมายพิเศษทั้งกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ การตรวจค้นชาวบ้านมลายูมุสลิมด้วยการตรวจDNA หรือแม้กระทั่งการตรวจDNA การขัดเลือกทหารเกณฑ์แม้จะตรวจทุกคนทั้งคนพุทธ มุสลิม การจดทะเบียนซิมการร์ด 2 แซะ แต่ใช้เฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้คนมลายูมุสลิมส่วนใหญ่ อันจะส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน อันนำไปสู่การแก้ปัญหาชายแดนอยากขึ้น

2. หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษในขณะที่ยังไม่มีการยกเลิก ทั้งในเรื่องการตั้งด่าน ปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับความไม่สงบ และยกเลิก การใช้ “กรรมวิธี” ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษเสี่ยงต่อการถูกทรมาน โดยประชาชนที่เป็นชาวมุสลิมมักตกเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติงานดังกล่าวของเจ้าหน้าที่
3. ยุติการดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม เอาเปรียบผู้ต้องหา ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม หรือ Fair Trial ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และมาตรฐานระหว่างประเทศเช่น ใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ จับและคุมขังผู้ต้องสงสัยไว้ก่อน แล้วหาพยานหลักฐานทีหลัง ใช้คำซัดทอดของผู้ถูกคุมขังตามกฎหมายพิเศษ ใช้เป็นพยานหลักฐานในการตัดสินลงโทษจำเลย สืบพยานล่วงหน้าโดยไม่มีเหตุอันสมควรเพื่อปรักปรำผู้ต้องหาและตัดโอกาสผู้ต้องหาในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ นำพยานหลักฐาน ทั้งพยานวัตถุและบันทึกถ้อยคำของบุคคล ที่เจ้าหน้าที่ได้มาจากการปิดล้อม ตรวจค้น ยึด จับกุม คุมขัง หรือซักถาม ตาม “กรรมวิธี” คลิป ทั้งที่ตัดตอนและบันทึกหรือจัดทำขึ้นโดยไม่โปร่งใส ภายใต้การใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ มาใช้ในการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) อันเป็นกระบวนการได้มา ส่งต่อ เก็บรักษา ตรวจสอบ และเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ที่ไม่สอดคล้องกับหลักของการดำเนินคดีที่เป็นธรรม
4. ยกเลิกการออกหมายจับและหมายขังซ้ำซ้อน ทั้งการออกหมายจับและหมายขังตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ (หมาย ฉฉ.) ที่ศาลได้ออกให้แก่เจ้าหน้าที่ แม้บุคคลตามหมายต้องหมายจับตามป.วิอาญาอยู่แล้ว ซึ่งนำไปสู่การเอาตัวผู้ต้องหาที่ต้องหมายจับตามป.วิอาญา ไปคุมขังไว้ตามหมาย ฉฉ. ทำให้ผู้ต้องหาในคดีอาญาถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่นสิทธิในการพบและปรึกษาทนายความ สิทธิในการที่จะให้การหรือไม่ให้การอย่างใดก็ได้เป็นต้น หรือการออกหมายจับตาม ป.วิอาญาที่ศาลออกให้แก่เจ้าหน้าที่อีกคดีหนึ่ง แม้บุคคลตามหมายจับต้องหมายจับ ตาม ป.วิอาญาในคดีอื่นอยู่แล้ว ทำให้พนักงานสอบสวนสามารถอายัดตัวผู้ต้องหาหลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีหนึ่งแล้ว โดยอ้างว่ายังมีหมายจับอีกคดีหนึ่งเป็นการรอายัดตัวซ้ำซาก ทำให้ผู้ต้องหาถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดีต่างๆต่อๆไปไม่มีสิ้นสุด
5. ให้ศาลปกครองมีอำนาจที่จะพิจารณาคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายพิเศษ และคดีละเมิดทางปกครอง ก่อนที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะวินิจฉัยให้ศาลปกครองไม่มีอำนาจพิจารณาคดีละเมิดที่เจ้าหน้าที่กระทำต่อพลเมืองใน จชต. ผู้เสียหายมีความรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมและการเยียวยาจากศาลปกครองมากกว่า เนื่องจากแนวคิดและการไต่สวนในระบบการพิจารณาคดีของศาลปกครองสามารถตรวจสอบการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ดีกว่า ดังนั้นศาลปกครองควรจะมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีละเมิดทางปกครองเช่นเดิม และคดีที่เกี่ยวกับการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายพิเศษด้วย
6.สื่อต้องไม่ขยายรายงานที่นำไปสู่ความขัดเเย้งเพิ่มหรือผลักอีกฝ่ายแบบเหมารวม

ไม่เพียงเท่านั้นแต่หากเป็นไปได้ ต้องนำหลักการความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice – TJ) มาใช้โดยให้นำมาใช้ทั้งกับการก่ออาชญากรรมร้ายแรง ทั้งจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบและเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อลดความขัดแย้ง เกลียดชังโดยประสานกับหลักการความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restroative Justice -RJ) โดยจะต้องยึดหลักการตรวจสอบค้นหาความจริง จากคณะกรรมการอิสระที่เป็นอิสระ เช่นนักวิชาการ ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และภาคประชาสังคมที่ได้รับความเคารพเชื่อถือ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเหยื่อของความรุนแรงและสังคมรับทราบความจริง เข้าใจปัญหาและรากเหง้าของความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในแง่มุมต่างๆ อย่างเป็นภาวะวิสัยพร้อมทั้ง การชดเชย ฟื้นฟู แก้ไข เยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ทั้งชาวมุสลิมและชาวพุทธ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเช่นเดิม รวมทั้งการเยียวยาทางด้านจิตใจ ซึ่งที่ผ่านมาบุคคลดังกล่าวยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐเท่าที่ควร ความคับแค้นใจที่ยังคงดำรงอยู่ไม่เป็นดีอย่างยิ่งต่อกระบวนการสันติภาพและการสร้างความปรองดองใน จชต. อีกทั้งการนำผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลงโทษผู้กระทำผิด โดยเฉพาะผู้มีอำนาจไม่ว่าจะฝ่ายใด ที่สั่งการ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจในการก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยอาจนำหลักการของความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice-RJ) มาใช้สำหรับการกระทำผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสองฝ่ายด้วย

สิ่งสำคัญไม่ควรมองข้ามคือการปฏิรูปเชิงสถาบัน ทั้งในทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ จชต. โดยกระบวนการของการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่สันติสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยท้ายสุดคือการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเยียวยาโดยพัฒนากลไกในการรับเรื่องร้องเรียน โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมที่สามารถเข้าถึงชุมชนและผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและได้รับผลกระทบมากกว่ากลไกของรัฐ โดยรัฐจะต้องประกันความปลอดภัยและความเป็นธรรม เพื่อให้ผู้ร้องเรียนมีความมั่นใจและกล้าร้องเรียน การร้องเรียนเป็นการเปิดเผยความจริงของความขัดแย้งและปัญหาต่อรัฐต่อสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาและกระบวนการสันติภาพและพัฒนากลไกการร้องเรียนและตรวจสอบกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนและการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อป้องปราม ค้นหาความจริงและให้มีการแก้ไขเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างได้ผล ทั้งการตรวจสอบโดยกลไกในท้องถิ่น กลไกประเทศและกลไกระหว่างประเทศ ที่เป็นอิสระ โดยกลไกเหล่านี้ต้องสามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงต่างๆ และข้อเสนอแนะได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานของรัฐและรัฐบาล
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเยียวยาเหยื่อและผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งมิใช่เพียงการชดใช้เป็นตัวเงินเท่านั้น แต่รวมถึงการฟื้นฟูเยียวยาด้านจิตใจ การทำให้กลับสู่สถานะเดิมเท่าที่จะทำได้ การช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเหยื่อและครอบครัว ฯลฯ การเยียวยาเป็นการบรรเทาความขัดแย้งที่ได้ผลระดับหนึ่ง ในขณะที่กระบวนการสันติภาพยังไม่ได้รับความสำเร็จ
หมายเหตุ
รวมแถลงการณ์ กรณีเหตุการณ์ยิงถล่มป้อม ชรบ.ตำบลลำพะยา อ.เมืองยะลา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย บาดเจ็บ 4 ราย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562
ลิงค์ของเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ชายแดนใต้ (B4P)
https://www.facebook.com/…/rpp.304476969…/1417301275087019/…
ลิงค์ของ สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี The Federation of Patani Students and Youth – PerMAS
https://www.facebook.com/…/a.14462563556…/2239762826325309/…
ลิงค์ของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม Cross Cultural Foundation (CrCF)
https://www.facebook.com/CrCF.Thailand/posts/2494470730600198
ลิงค์ของสมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ (กลุ่มลูกเหรียง)
https://www.facebook.com/…/rpp.146958712…/2556607531084020/…
ลิงค์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
https://www.facebook.com/…/a.16503068032…/1358875207605530/…
#แถลงการณ์
#ไฟใต้
Cr. Patani NOTES

 1,379 total views,  2 views today

You may have missed