เมษายน 24, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

Talk of The Town อะไรคือข้อเสนอแนะ ในอนาคตสำหรับประเทศไทย เพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้น เฉกเช่น “บิลลี่กับอับดุลเลาะห์”

แชร์เลย

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

Talk of The Town ทั้งชาวบ้าน นักวิชาการสื่อมวล ในและนอกสภาผู้แทนราษฎรหรือแม้แม้องค์กรสิทธิมนุษยชนในเวลาเดียวกันคงไม่เกินการยืนยันการตายของบิลลี่ (คนชายขอบจากเพชรบุรี)และการตายของนายอับดุลเลาะห์ อิซอมูสอ ( คนชายขอบชายแดนใต้) แม้แต่บทวิจารณ์สื่อไทยกระเเสหลัก เช่น
1.https://www.khaosod.co.th/hot-topics/news_2866968
2.https://www.matichonweekly.com/e-daung/article_226040

การยืนยันการตายของบิลลี่ นั้น ดีเอสไอ แถลงยืนยันเอง ว่า “บิลลี่” กะเหรี่ยงแก่งกระจาน ที่หายตัว 5 ปี เสียชีวิตแล้ว พบกระดูกในถังใต้น้ำ ดีเอ็นเอตรงกับแม่ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 3 กันยายน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แถลงความคืบหน้าคดีการสูญหายของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในอำเภอแก่งกระจาน ซึ่งหายตัวไปกว่า 5 ปี ซึ่งพบว่ามีหลักฐานเป็นกระดูกอยู่ในถังน้ำมัน 200 ลิตร ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งดีเอ็นเอยืนยันว่าตรงกับแม่ของบิลลี่ ซึ่งความเป็นจริงคนในพื้นที่ นักสิทธิมนุษยชน ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งข้อเกตมานานแล้ว ดังนั้นหลังข่าวนี้ถูกแถลงทำให้ ถนนทุกสายมุ่งไปสู่คำถามต่อรัฐบาลให้จัดการเรื่องนี้ในการทวงความยุติธรรมกลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัว ซึ่งไม่ต่างจากการตายของอับดุลเลาะห์ แม้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้จะแถลงต่อสาธารณชนอย่างไร ทุกภาคส่วนรวมทั้งญาติก็ยังขอให้รัฐตั้งกรรมการใหม่เพื่อสอบสวนสืบสวนว่าช่วง3 ทุ่มถึงตี3 ในค่ายนั้นมีใครทำอะไรหรือไม่อย่างไรทำให้อับดุลเลาะห์ขาดอากาศหายใจ (ตามที่แพทย์โรงพยบาลแถลงว่าตายเพราะขาดอากาศหายใจ)ซึ่งล่าสุด น. วันที่ 4 ก.ย 2562 ภรรยา “อับดุลเลาะ” ยื่นหนังสือ พรรคอนาคตใหม่และองค์สิทธิมนุษยชนต่างประเทศจี้ ให้ตรวจสอบเหตุเสียชีวิตใหม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การที่ประชาชนรวมทั้งญาติอับดุลเลาะห์ ยังสัยอยู่เพราะ ตั้งแต่ปี 25 47 มีกรณี แบบนี้แล้ว 54 ราย 100 % เป็นมุสลิมเชื้อสายมลายู

อย่างไรก็แล้วแต่ทั้งสองกรณี เรื่องบิลลี่ คนชายขอบ (กะเหรี่ยง)จากแก่งกระจาน กับอับดุลเลาะห์ คนมลายูชายขอบจากชายแดนใต้ พบว่า ชาวบ้าน หรือทุกภาคส่วน สงสัย ว่า คนของรัฐเองใช้กระบวนการนอกกฎหมายจัดการต่อผู้เห็นต่างจากรัฐ และผู้ต้องสงสัย และหากสืบสวนจริง ก็สามารถทำได้ เปิดเผยได้ ว่า ขณะนั้น ทั้งสองกรณี อยู่ภายใต้การดูแลของใคร หน่วยงานไหน ใครสั่งการ
ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทิต มันตาภรณ์ ผู้เชี่ยวชาญอิสระของสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการป้องกันความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศกล่าวว่า “เรื่องการทรมานมีมานานแล้วตั้งแต่มีมนุษย์ แต่ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้มีสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงที่คนนับล้านถูกประทุษร้ายทั้งถูกฆ่าและถูกทรมาน เป็นบทเรียนที่สำคัญมากของมนุษย์

“หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรามีสหประชาชาติขึ้นมามีหลักเกณฑ์ ข้อตกลงและมติชัดเจนว่าสิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิที่จะ ไม่ถูกทรมาน เป็นสิทธิที่เด็ดขาดและสำคัญมาก น่าเศร้าที่หลาย กรณีคนที่ไปช่วยเหลือผู้ถูกทรมานแล้วกลายเป็นเหยื่อไปด้วย อย่างกรณีนักสิทธิมนุษยชนในไทย เช่น ทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถูกอุ้มหาย ช่วงนั้นทำงานช่วยเหลือคนที่ถูกทรมานและถูกฆ่าด้วย

“ในประเทศเรามีภาวะที่เปิดช่องให้เกิดการประทุษร้ายและทรมาน เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้กักขังคนในที่ปิดที่ไม่ใช่พื้นที่ราชการซึ่งอาจเกิดการประทุษร้ายได้ รวมถึงกฎอัยการศึกด้วย การกักตัวเป็นระยะเวลานานก็จะเกิดโอกาสการประทุษร้ายได้ ถ้าเราใช้หลักเกณฑ์ที่ดีปกป้องมนุษย์ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ดี จะเป็นการปกป้องทุกคน รวมถึงเจ้าหน้าที่เองด้วย

“วิธีดีที่สุดคือการนำบุคคลนั้นขึ้นศาลเพื่อป้องกันการกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ก่อการประทุษร้าย ดังนั้นการห้ามทรมานจึงควบคู่ไปกับสิทธิที่จะมีโอกาสขึ้นศาลด้วย”

“เมื่อเกิดเหตุแล้ว การตรวจสอบสอบสวนเกิดขึ้นยากมาก เป็นข้อท้าทาย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอำนาจทั้งบวกและลบ หาผู้รับผิดชอบยาก เกิดการลอยนวลตลอดเวลา ลงโทษผู้กระทำผิดได้ยาก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่บางฝ่าย อย่างมากมีเพียงการโยกย้ายเจ้าหน้าที่

“เหยื่อและครอบครัวต้องเจออุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะช่วงขอความเป็นธรรม การถูกประทุษร้ายมีผลแนวลบมากมาย ต่อครอบครัวและผู้เรียกร้องสิทธิแทนเหยื่อ ทั้งทนายและเอ็นจีโอ ต้องคำนึงถึงสิทธิเด็ดขาดที่ห้ามทรมานอย่างมีน้ำหนักมากขึ้น”
ข้อเสนอแนะในอนาคตสำหรับประเทศไทยเพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีก นั้น ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทิต เสนอไว้ดังนี้

1.ปรับปรุง กฎหมายและกฎเกณฑ์ยัง ละหลวม เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การใช้กฎอัยการศึก หรือการใช้คำสั่งทั้งหลายนำไปสู่ความไม่โปร่งใสในหลายส่วนและนำไปสู่การลอยนวลด้วย

2.เมื่อละเมิดแล้วต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่การโยกย้าย เพราะฉะนั้นนโยบายกรองคนควรจะต้องชัดเจนให้มาก

3. ช่วยเหลือเหยื่อและครอบครัวให้ติดต่อกันได้สม่ำเสมอ ให้เยี่ยมได้ง่ายขึ้น

4. การโจมตีผู้พิทักษ์สิทธิต้องหยุด เคารพนักสิทธิมนุษยชนที่ช่วยเหลือให้ข้อมูลโปร่งใสช่วยบรรเทาภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่

โปรดอ่านเพิ่มเติมประกอบ เรื่อง “การทรมานเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้น”ใน

https://www.amnesty.or.th/latest/blog/13/?fbclid=IwAR2HUS072fIrcxx96dMfWRTGMPnWtAwALDndFN_S5bQd2Ec1L6EZchgodGc

 958 total views,  2 views today

You may have missed