ธันวาคม 7, 2025

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

“เท่าเทียมเป็นธรรม ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน สามัญหรือศาสนา”: ข้อเสนอจากสมาคมฯ ภาคใต้ ชี้เป้าบทบาท ศธ. ในการฟื้นฟูการศึกษาหลังน้ำท่วม

แชร์เลย

โดย:อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

     วิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ได้สร้างบาดแผลลึกให้กับระบบการศึกษาในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อำเภอหาดใหญ่ ความเสียหายมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่โรงเรียนรัฐเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโรงเรียนเอกชน ทั้งในระบบสามัญและโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาในภูมิภาค ดังนั้น ข้อเสนอของสมาคมพันธ์โรงเรียนเอกชนภาคใต้ที่ว่า “เท่าเทียมเป็นธรรม ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน สามัญหรือศาสนา” จึงเป็นหลักการสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องยึดถือในการดำเนินมาตรการฟื้นฟูและเยียวยา

บทบาทกระทรวงศึกษาธิการกับการฟื้นฟูและเยียวยาการศึกษาหลังน้ำท่วม: การตอบสนองที่ต้องเสมอภาค

     ศธ. ในฐานะแกนหลักในการฟื้นฟู ได้แสดงความมุ่งมั่นผ่านแผน 3 ระยะ (เผชิญเหตุ ฟื้นฟู และเยียวยา) ซึ่งครอบคลุมทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ครู บุคลากร และสถานศึกษา

สรุปมาตรการหลักของ ศธ. ในการเยียวยา

กลุ่มเป้าหมาย มาตรการหลัก (ระยะฟื้นฟูและเยียวยา)
นักเรียน/ผู้ปกครอง ช่วยเหลือค่าหนังสือเรียน อุปกรณ์ และเครื่องแบบนักเรียน, สอนชดเชย, ดูแลจิตใจ
ครู/บุคลากร ดูแลฟื้นฟูขวัญและกำลังใจ, ทีมช่างอาสา (Fix-it Center) ซ่อมบำรุงทรัพย์สิน
สถานศึกษา (รัฐ) จัดสรรงบประมาณซ่อมแซมตามระดับความเสียหาย (ทั้งหมด/บางส่วน/เล็กน้อย), ฟื้นฟูวัสดุอุปกรณ์
สถานศึกษา (เอกชน) พักหนี้เงินกู้กองทุนฯ 1 ปี, กู้ยืมปลอดดอกเบี้ย 3 ปี (วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท), เงินอุดหนุนฟื้นฟู (ไม่เกิน 500,000 บาทสำหรับในระบบ และ 50,000 บาทสำหรับนอกระบบ)

การใช้กลไกของกองทุนเพื่อมุ่งสู่ “ความเท่าเทียมเป็นธรรม”

     สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งคือความเสมอภาคในการเข้าถึงกลไกการเยียวยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนเอกชน ซึ่งมีข้อจำกัดด้านงบประมาณในการรับมือกับภัยพิบัติที่แตกต่างจากโรงเรียนรัฐที่มีกลไกการใช้งบประมาณจากรัฐบาลได้โดยตรง

ข้อเสนอเพื่อเสริมความเท่าเทียมผ่านกองทุน

  • กองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ (สช.) และกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน:
    มาตรการพักหนี้ 1 ปี และกู้ยืมปลอดดอกเบี้ย 3 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ ศธ. ควรเร่งรัดการพิจารณาวงเงินอุดหนุนฟื้นฟูให้สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะสำหรับโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กหรือโรงเรียนสอนศาสนาที่ขาดสภาพคล่องสูง ซึ่งงบประมาณสูงสุดที่ 500,000 บาท อาจไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดและต้องได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

  • กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.):
    กสศ. ควรใช้ความยืดหยุ่นที่มีอยู่ ขยายการช่วยเหลือฉุกเฉินชั่วคราวไปถึงนักเรียนผู้ประสบภัยทุกคน โดยไม่จำกัดเฉพาะนักเรียนยากจนพิเศษเท่านั้น เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายเร่งด่วนที่เกิดจากอุปกรณ์การเรียนเสียหาย

  • กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.):
    การพิจารณาพักชำระหนี้ให้กับผู้กู้ยืมที่ครอบครัวได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นกรณีพิเศษตามมาตรการที่เคยเสนอ ถือเป็นการบรรเทาภาระทางเศรษฐกิจแก่ผู้ปกครองอย่างตรงจุด

บทสรุป: ศธ. ผู้นำการฟื้นฟูที่ต้องโอบอุ้มทุกคน

     การเดินหน้าของกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเป็น ผู้นำการฟื้นฟู (Recovery Leader) อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูจะสัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริงได้นั้น ต้องตั้งอยู่บนหลักการของ “ความเท่าเทียมเป็นธรรม” อย่างแท้จริง โดยให้การสนับสนุนโรงเรียนเอกชน ทั้งสามัญและศาสนา ให้สามารถกลับมาเปิดทำการได้อย่างรวดเร็วและมีมาตรฐานเทียบเท่าโรงเรียนรัฐ เพื่อให้ภารกิจด้านการศึกษาของชาติสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่สะดุด

 381 total views,  381 views today

You may have missed