โดย: อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมอัลมีรอซ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ผนึกกำลังกับสำนักจุฬาราชมนตรี จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อจัดตั้ง “สภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย (Muslim Academic Council of Thailand)” และเปิดตัววิสัยทัศน์ระดับชาติ “Thailand Islamic Education Hub” โดยมีนักวิชาการ ผู้นำศาสนา รวมถึงตัวแทนสถานทูตจากประเทศมุสลิมเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นมาตรการสำคัญในการใช้ฐานวิชาการและองค์ความรู้เพื่อร่วมพัฒนาสังคมมุสลิมและสังคมไทยโดยรวม พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางด้านอิสลามศึกษา (Islamic Education Hub) ที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และทันสมัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
วิสัยทัศน์ร่วม: ยกระดับองค์ความรู้ พัฒนาสังคมพหุวัฒนธรรม
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า โครงการนี้ตอกย้ำความเข้มแข็งของสังคมพหุวัฒนธรรมไทย และสะท้อนบทบาทสำคัญของชาวมุสลิมในการพัฒนาประเทศ
“สภานักวิชาการฯ จะทำหน้าที่เป็น กลไกกลาง เชื่อมโยงสถาบันอุดมศึกษา นักวิชาการ ผู้นำศาสนา และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ มาตรฐานวิชาการ และข้อเสนอเชิงนโยบายระยะยาว”

วัตถุประสงค์หลักของการจัดงานมี 3 ประการสำคัญที่เชื่อมโยงกัน:
• จัดตั้งสภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นกลไกกลางในการพัฒนาวิชาการอิสลามในประเทศ รวบรวมเครือข่าย ส่งเสริมงานวิจัย และบ่มเพาะนักวิชาการรุ่นใหม่
• ผลักดันโครงการ Thailand Islamic Education Hub มุ่งวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านอิสลามศึกษาในระดับนานาชาติ ที่พร้อมเผยแพร่ความรู้ศาสนาและวิทยาการร่วมสมัย
• ประชุมระดมสมองจัดทำยุทธศาสตร์ MT-Vision 2030 เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางวิชาการและนวัตกรรม ยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้มีความยั่งยืน
พ.ญ.หญิง เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ย้ำว่านี่คือ “วิสัยทัศน์ร่วม” ที่จะสร้างระบบการศึกษามุสลิมที่เข้มแข็งและมีมาตรฐาน เพื่อพัฒนา “ทุนมนุษย์” ที่สำคัญต่อความมั่นคงและความก้าวหน้าของประเทศ
หลักการศาสนาคือรากฐานความเข้มแข็ง
อาจารย์อรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย ภายใต้การดูแลขององค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก
ท่านจุฬาฯ ได้อ้างถึงหลักการของศาสนาอิสลามที่เน้นความเข้มแข็งของสังคม โดยกล่าวว่า:
“ความเข้มแข็ง ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และการศึกษา”
ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำความรู้ตามหลักศาสนาและวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ
เชื่อม ‘โกลบอลสู่โลคอล’ ขับเคลื่อนชายแดนใต้
ผศ.ดร.อัตตชัย เอื้ออนันตสันต์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ชี้ให้เห็นว่า ความร่วมมือนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขยายงานอิสลามศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ ตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
ท่านกล่าวว่า Thailand Islamic Education Hub จะเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้จากทั่วโลก (โกลบอล) สู่ท้องถิ่น (โลคอล) เพื่อส่งต่อองค์ความรู้ที่ถูกต้องกลับสู่ชุมชน การใช้พื้นที่วิชาการที่เปิดกว้างจะช่วย แก้ไขภาพลบ ของมุสลิมในสื่อ และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนิก
“การศึกษาอิสลามศึกษาเปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่จำเป็นต้องเป็นมุสลิม และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ประกอบอาชีพและอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างดี”
การรวมพลังของเครือข่ายอุดมศึกษา
หัวใจของงานคือการลงนาม MOU ระหว่าง อว. และสำนักจุฬาฯ และพิธีลงนามปฏิญญาความร่วมมือ Thailand Islamic Education Hub โดยมีสถาบันอุดมศึกษา 12 แห่ง เข้าร่วมเป็นเครือข่ายนำร่อง ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำและวิทยาลัยชุมชนในพื้นที่ภาคใต้ เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และวิทยาลัยชุมชนยะลา เป็นต้น
การรวมพลังครั้งใหญ่นี้สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมของภาคอุดมศึกษา ภาครัฐ และชุมชน ที่จะทำงานเคียงข้างกัน เพื่อยกระดับบทบาทของประเทศไทยบนเวทีโลกมุสลิมและประชาคมระหว่างประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้มุสลิมในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง
294 total views, 294 views today

More Stories
จุฬาราชมนตรี: ผู้นำสองสถานะในวิกฤต “มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568” ผู้ประสานงานและเยียวยาจิตใจ
จิตอาสาภาคประชาชน: เอกภาพบนหลักการ แตกต่างในรายละเอียด “เติมเต็มช่องว่างที่รัฐตกหล่น”
เจาะลึกคุตบะห์ญุมอะห์จะนะ: “ป่าคอนกรีต” สู่มัสยิดศูนย์บัญชาการภัยพิบัติ