อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


การฟื้นตัวของหาดใหญ่จากมหาอุทกภัยที่ผ่านมาได้ตอกย้ำบทเรียนสำคัญ นั่นคือ ในยามที่ระบบราชการเผชิญกับ “ภาวะรัฐล้มเหลว” จากความเชื่องช้าและข้อจำกัดทางระเบียบ พลังที่เข้ามาช่วยกู้วิกฤตอย่างแท้จริงคือ “พลังแห่งเอกชน” ซึ่งหมายรวมถึง บริษัท ห้างร้าน องค์กรภาคประชาชน มูลนิธิ กู้ภัย และประชาชนผู้มีทรัพยากรที่ลงมือช่วยเหลือกันเองอย่างเป็นธรรมชาติ (Organic)
เราเห็นภาพรถแม็คโครส่วนตัวเข้ามาเคลียร์ถนนข้างมัสยิด ซึ่งไม่ใช่ภารกิจของเทศบาล แต่เป็นภารกิจที่เอกชนทำเพื่อชุมชน บทเรียนนี้ชี้ชัดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องดีไซน์องค์กรรัฐให้เล็กลง คล่องตัวขึ้น และหันมาสนับสนุนให้ภาคเอกชนแกร่งขึ้น พร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤตที่ไม่อาจคาดการณ์ได้จริง ๆ
ทำไมต้องมีกฎหมายหนุนภาคเอกชน? (The Rationale)
การช่วยเหลือแบบ “ต่างคนต่างมา” แม้เปี่ยมด้วยจิตอาสา แต่ก็ขาดความต่อเนื่องและเสี่ยงต่อปัญหาตามมา การมีกฎหมายหรือการแก้ไข พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 (ปภ. 2550) จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเปลี่ยนบทบาทรัฐจาก “ผู้บัญชาการที่เชื่องช้า” เป็น “ผู้สนับสนุนและผู้ประสานงานที่คล่องตัว” ด้วยเหตุผลหลัก 4 ประการ:
- ยกระดับความเชื่อมั่นและการประสานงาน: การมีกรอบกฎหมายรองรับทำให้อาสาสมัครเอกชนมีสถานะที่ชัดเจนและเกิดกลไกการประสานงานร่วมกับหน่วยงานรัฐท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- มอบความคุ้มครองทางกฎหมาย (Legal Shield): ผู้ประกอบการที่นำเครื่องจักรหรือพาหนะมูลค่าสูงมาเสี่ยงภัย เช่น การใช้รถแม็คโครกู้ถนน หรือเรือขนย้ายผู้ป่วย ควรได้รับการคุ้มครองจากความรับผิดชอบทางแพ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่เจตนาในระหว่างปฏิบัติภารกิจ
- สร้างแรงจูงใจและลดภาระ: การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการชดเชยความเสียหายจะช่วยกระตุ้นให้เอกชนตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องมือหลังวิกฤต
- แก้ปัญหา “รัฐง่อยเปลี้ยอ่อนแอ”: ปลดล็อกพันธนาการทางระบบระเบียบที่ต้อง “รอการสั่งการ” หรือ “รอมารายงานตัว” เพื่อให้พลังเอกชนสามารถลงมือได้ทันท่วงทีตามความรุนแรงของสถานการณ์
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: พ.ร.บ. 3 ด้าน เพื่อเสริมศักยภาพภาคเอกชน
หากต้องการให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาแบ่งเบาภารกิจรัฐได้อย่างเต็มศักยภาพและปลอดภัย ควรมีการออกแบบกลไกทางกฎหมายใน 3 ด้านหลัก:
1. การคุ้มครองและความรับผิดชอบ (Liability & Protection)
เราต้องมีมาตรการคุ้มครองสำหรับ “ผู้กระทำความดี” (Good Samaritan) โดย:
-
มาตรการ Good Samaritan: ควรกำหนดบทบัญญัติให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่ “อาสาสมัครภาคเอกชน/องค์กรภาคประชาชนที่ลงทะเบียน” ที่ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือโดยสุจริตและตามมาตรฐานที่กำหนด ให้รอดพ้นจากความรับผิดทางแพ่งที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
2. แรงจูงใจและสิทธิประโยชน์ (Incentives & Benefits)
ต้องมีมาตรการกระตุ้นและลดภาระทางเศรษฐกิจให้กับผู้บริจาคทั้งเวลา เงิน และทรัพยากร:
-
สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
-
ให้สิทธิ ลดหย่อนภาษี หรือให้เป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจในอัตราที่สูงกว่าปกติ (เช่น 2-3 เท่า) สำหรับมูลค่าการบริจาคทรัพยากรและการบริการที่ใช้ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัยที่ได้รับการรับรอง
-
-
การชดเชยความเสียหาย:
-
จัดตั้ง “กองทุนชดเชยความเสียหายภาคเอกชนกู้ภัย” เพื่อเยียวยาความเสียหายของเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือพาหนะ (เช่น เรือ, รถยก, รถแม็คโคร) ที่ใช้งานระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการรับรองจาก กอ.ปภ. ท้องถิ่น
-
3. การบูรณาการและศักยภาพ (Integration & Capacity Building)
ต้องมีการจัดระบบเพื่อให้ “พลังเอกชน” กลายเป็น “ส่วนหนึ่ง” ที่มีสถานะชัดเจนของระบบป้องกันภัยพิบัติ:
-
การรับรองสถานะและการให้อำนาจ:
- กำหนดให้มีการ “ขึ้นทะเบียน/รับรอง” องค์กรภาคเอกชนที่มีศักยภาพเฉพาะทาง (เช่น ทีมกู้ภัย, เครือข่ายครัวกลาง) อย่างเป็นระบบในระดับ อปท. และจังหวัด
- เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉิน องค์กรที่ได้รับการรับรองควรได้รับ “อำนาจในการปฏิบัติการเฉพาะ” ที่คล่องตัว (เช่น การจัดการจราจรชั่วคราว) โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางที่ล่าช้า
-
การสนับสนุนทรัพยากรล่วงหน้า:
- กำหนดให้ อปท. ต้องจัดทำ “แผนบูรณาการร่วมกับภาคเอกชน” (Public-Private Partnership Plan) ที่ระบุบทบาท ทรัพยากร และผู้ประสานงานของแต่ละฝ่ายไว้อย่างชัดเจน ก่อนเกิดเหตุ
- ให้สิทธิ์ “เข้าถึงทรัพยากรและข้อมูลของรัฐ” ในยามฉุกเฉิน (เช่น การเบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำรอง, ข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัยที่ละเอียด) แก่องค์กรที่ได้รับการรับรอง
สรุป: การดีไซน์รัฐใหม่เพื่อความอยู่รอดของประเทศ

บทเรียนจากหาดใหญ่คือสัญญาณที่ดังชัดเจน: ประเทศไทยจำเป็นต้องดีไซน์กลไกการรับมือวิกฤตใหม่ โดยการออกกฎหมายที่มุ่งเน้นการ “สนับสนุนและอำนวยความสะดวก” ให้แก่พลังที่แท้จริงของประชาชนและเอกชน ไม่ใช่การควบคุม
รัฐต้องทำหน้าที่เป็นเพียง ผู้กำหนดกติกา (Regulator) และ ผู้ประสานงาน (Coordinator) ที่คล่องตัว ในขณะที่ ภาคเอกชนและองค์กรประชาชนต้องแกร่งขึ้น มีความพร้อม และปฏิบัติการได้อย่างมีเกียรติและปลอดภัยภายใต้การรับรองของกฎหมาย
นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้เราคนไทยทั้งประเทศสามารถลดความสูญเสีย และเดินหน้าผ่านวิกฤตที่ไม่คาดฝันได้ในอนาคต
#Supat #น้ําท่วมหาดใหญ่2568 #สะบ้าย้อย #แพทย์ชนบท
20,605 total views, 553 views today

More Stories
“เท่าเทียมเป็นธรรม ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน สามัญหรือศาสนา”: ข้อเสนอจากสมาคมฯ ภาคใต้ ชี้เป้าบทบาท ศธ. ในการฟื้นฟูการศึกษาหลังน้ำท่วม
สภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย: ก้าวสำคัญสู่ “ศูนย์กลางอิสลามศึกษาแห่งภูมิภาค”
ความสำคัญของการจัดศพมุสลิมในภาวะวิกฤต: บทเรียนจากมหาอุทกภัยใต้และการรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่