โดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

สังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่ผู้คนจากหลากหลายศาสนาและชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหากษัตริย์ ทักษะที่สำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกันคือ “ทักษะวัฒนธรรม” หรือความสามารถในการเข้าใจและเคารพความแตกต่างทางพิธีกรรมและหลักปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งสำคัญของประเทศ เช่น การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
บทเรียนจากเหตุการณ์สวรรคตในอดีต: กรอบศาสนา vs. ธรรมเนียมรัฐ
ในช่วงแรกของการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) พี่น้องมุสลิมไทย โดยเฉพาะข้าราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ประสบภาวะลำบากใจในการปรับตัวเข้ากับธรรมเนียมการไว้ทุกข์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ทั้งเรื่อง การแต่งกายชุดดำ และ การไว้อาลัยด้วยพิธีกรรมที่มิใช่แบบอิสลาม
ความกังวลเหล่านี้เกิดจาก:
- ข้อกังวลทางศาสนา: หลักการอิสลามมีกรอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับพิธีศพและการไว้ทุกข์
- ข้อกังวลทางสังคม/ราชการ: กลัวถูกประณามว่าไม่จงรักภักดี หรือไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายลงอย่างมากเมื่อ สำนักจุฬาราชมนตรี (ในขณะนั้นคือ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล) ได้ออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน โดยอิงคำวินิจฉัยเดิมของอดีตจุฬาราชมนตรี (นายประเสริฐ มะหะหมัด) ที่ว่า “ในการแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยชุดสีดำ ผิดบทบัญญัติศาสนาอิสลาม”

ซึ่งเป็นที่มาของแนวทางปฏิบัติที่เน้นการแต่งกายที่ สุภาพ ไม่ฉูดฉาด และการถวายอาลัยด้วยวิธีการทางศาสนาอิสลามที่อนุญาต เช่น การกล่าวถวายอาลัยก่อนละหมาดวันศุกร์ และ การนำเสนอคุตบะห์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ
แนวทางปฏิบัติล่าสุด: การสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง
เหตุการณ์สวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในปี พ.ศ. 2568 ได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของ “ทักษะวัฒนธรรม” อีกครั้ง
เพื่อให้พสกนิกรมุสลิมสามารถร่วมถวายอาลัยได้อย่างสมพระเกียรติและถูกต้องตามหลักศาสนา นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ได้ออกประกาศแนวทางปฏิบัติล่าสุดในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นบทสรุปของประสบการณ์ที่สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกัน ดังนี้:
| หมวดหมู่ | แนวทางปฏิบัติสำหรับมุสลิมไทย |
|---|---|
| การแต่งกาย | ข้าราชการ: เครื่องแบบปกติขาว/ตามที่ราชการกำหนด (เว้นแต่มีการยกเว้น) ประชาชนทั่วไป: เครื่องแต่งกายโทน สีสุภาพไม่ฉูดฉาด |
| การเข้าถวายอาลัย | ยืนตรงสงบนิ่ง สามารถ ก้มศีรษะคำนับได้ ในกรอบลักษณะที่ ไม่ถึงระดับรุกัวะ (ก้มตัวขนานพื้น) หากนั่งให้นั่งพับเพียบตัวตรงสงบนิ่ง |
| การแสดงความอาลัย | อ่านคำถวายอาลัยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณก่อนละหมาดวันศุกร์, นำเสนอคุตบะห์วันศุกร์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศาสนาอิสลาม, จัดกิจกรรม/นิทรรศการ |
| การสืบสาน | เจริญรอยตามพระยุคลบาท และ สืบสานพระราชปณิธาน |
ทักษะวัฒนธรรมเพื่อความสามัคคี
แนวทางปฏิบัติทั้งในอดีตและปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยว่า การปฏิบัติที่แตกต่างไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เกียรติหรือไร้ความจงรักภักดี
“อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ”
— พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) ที่พระราชทานแก่อาจารย์วันมูฮัมมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา
นี่คือสาระสำคัญของ ทักษะวัฒนธรรม ในสังคมไทย นั่นคือการตระหนักว่าแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนามี “วิถีปฏิบัติ” ที่อาจแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ แต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การแสดงความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
หากสังคมไทยจะก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 หรือยุคใดก็ตาม ทักษะวัฒนธรรม คือรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ เคารพในขอบเขตทางศาสนาของกันและกัน และคงไว้ซึ่งความสามัคคี แม้ในภาพรวมของประเทศอาจมีความขัดแย้งทางการเมือง แต่ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและชาติพันธุ์ เราได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างในหลักปฏิบัติอันมีที่มาจากศรัทธาอย่างแท้จริง
8,513 total views, 4 views today

More Stories
จุฬาราชมนตรี: ผู้นำสองสถานะในวิกฤต “มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568” ผู้ประสานงานและเยียวยาจิตใจ
จิตอาสาภาคประชาชน: เอกภาพบนหลักการ แตกต่างในรายละเอียด “เติมเต็มช่องว่างที่รัฐตกหล่น”
เจาะลึกคุตบะห์ญุมอะห์จะนะ: “ป่าคอนกรีต” สู่มัสยิดศูนย์บัญชาการภัยพิบัติ