โดย… อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) : เรียบเรียง

โครงการสนับสนุนของรัฐบาลไทย “คนละครึ่ง” ได้เผยให้เห็นถึงวิธีการทุจริตหลายรูปแบบที่มุ่งเปลี่ยนเงินสนับสนุนที่จัดสรรไว้สำหรับซื้อสินค้าและบริการให้เป็นเงินสด ซึ่งเป็นการละเลยวัตถุประสงค์และกฎหมายของโครงการอย่างชัดเจน การที่ชาวมุสลิมเข้าไปพัวพันในการกระทำเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดกฎหมายแพ่งของไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ หะรอม (ต้องห้าม) อย่างเด็ดขาดตามหลักการและหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามด้วย
เหตุใดการทุจริตในโครงการจึงเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม?
รูปแบบการทุจริตที่พบโดยทั่วไปในโครงการ (เช่น การแลกสิทธิ์เป็นเงินสดโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง หรือการปั่นราคาสินค้า) ตรงกับแนวคิดที่ศาสนาอิสลามห้ามไว้ เช่น การฉ้อโกง (อัล-ฆิชชุ), การกินทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ (อักลุ อัมวาลิ นาส บิลบาฏิล) และการโกหก (อัล-กะซิบ)
1. การฉ้อโกง การหลอกลวง และการโกหก
การทุจริตถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการฉ้อโกงและการหลอกลวง ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามโดยฉันทามติของนักวิชาการศาสนา (อิจญ์มาอ์) ไม่ว่าจะเกิดขึ้นระหว่างบุคคลหรือต่อต้านผลประโยชน์สาธารณะ (รัฐบาลหรือประเทศ) ซึ่งเงินทุนของรัฐถือเป็นสิทธิของประชาชนทั่วไป
หลักฐานจากสุนนะฮ์ของท่านนบี (วจนะศาสดา):
ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า: “ผู้ใดที่ฉ้อโกงพวกเรา เขาไม่ใช่พวกเรา” (บันทึกโดยมุสลิม)
หะดีษนี้กล่าวถึงเมื่อท่านนบี (ศ.ล.) ผ่านไปพบพ่อค้าขายอาหาร ท่านได้เอามือจุ่มลงไปในกองอาหารและพบว่าข้างล่างเปียกชื้น ท่านจึงชี้แจงว่าการปกปิดตำหนิของสินค้าคือการฉ้อโกง การทำให้เข้าใจผิดว่ามีการซื้อขายจริงในโครงการ “คนละครึ่ง” (ทั้งที่ไม่มีการซื้อขายจริง) จึงเป็นการฉ้อโกงอย่างชัดเจน
การโกหกในการทำธุรกรรม:
กระบวนการทุจริตจำเป็นต้องมีการสมรู้ร่วมคิดและการโกหกต่อหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำลายความจำเริญ (บะเราะกะฮ์) ใน ริซกี (ปัจจัยยังชีพ) ท่านนบี (ศ.ล.) กล่าวว่า
“ผู้ซื้อและผู้ขายมีสิทธิ์ที่จะยกเลิกการซื้อขายตราบใดที่พวกเขายังไม่แยกจากกัน หากพวกเขาทั้งสองพูดความจริงและชี้แจง(ตำหนิสินค้า) การซื้อขายของพวกเขาก็จะได้รับความจำเริญ แต่หากพวกเขาทั้งสองโกหกและปกปิด ความจำเริญในการซื้อขายของพวกเขาก็จะถูกถอดถอน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม)
หากการโกหกและการปกปิดในธุรกรรมระหว่างบุคคลสองคนนำไปสู่การถอดถอนความจำเริญ แล้วจะเป็นเช่นไรกับการโกหกต่อระบบที่จัดตั้งขึ้นเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ?
2. การกินทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ
เงินที่รัฐบาลจ่ายในโครงการนี้คือ ทรัพย์สินสาธารณะ ที่จัดสรรไว้เพื่อสนับสนุนการครองชีพและกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านช่องทางที่กำหนด (การซื้อสินค้าและบริการ) การเปลี่ยนเป็นเงินสดโดยการฉ้อฉลถือเป็นการเอาทรัพย์สินนี้ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หลักฐานจากอัลกุรอาน:
อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า: ﴿ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่ากินทรัพย์สินของพวกเจ้าในระหว่างพวกเจ้าโดยมิชอบ เว้นแต่จะเป็นการค้าขายด้วยความพอใจของพวกเจ้า ﴾ (ซูเราะฮ์อัน-นิสาอ์ – 29) การทุจริตไม่ใช่ “การค้าขายด้วยความพอใจ” แต่เป็นการฉ้อฉลและนำเงินไปโดยอาศัยการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ
3. การขัดขืนผู้ปกครองในสิ่งที่ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของศาสนา
หลักการพื้นฐานในศาสนาอิสลามคือการเชื่อฟังผู้ปกครอง (รัฐบาลหรือประเทศ) ในสิ่งที่ไม่ได้ขัดแย้งกับบทบัญญัติของอัลลอฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่มุ่งเน้นการบรรลุผลประโยชน์สาธารณะและการจัดระเบียบกิจการของประชาชน กฎหมายและระเบียบของโครงการ “คนละครึ่ง” อยู่ในขอบเขตนี้
หลักฐานจากอัลกุรอาน:
อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า: ﴿ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังเราะซูล และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้า ﴾ (ซูเราะฮ์อัน-นิสาอ์ – 59)
ดังนั้น การละเมิดระเบียบเหล่านี้และการทุจริตเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ต้องห้าม จึงถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งทางศาสนา
บทลงโทษ: ในโลกนี้และโลกหน้า
ผู้ที่ก่ออาชญากรรมการทุจริตจะต้องเผชิญกับบทลงโทษสองประการ: บทลงโทษทางโลก และ บทลงโทษในโลกหน้า
1. บทลงโทษในโลกนี้:
-
- กฎหมายไทย: ผู้ที่เกี่ยวข้อง (ร้านค้าและผู้ใช้) เสี่ยงต่อการถูก ยกเลิกสิทธิ์ ถูก เรียกเงินคืน จากรัฐบาล และอาจถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหา ฉ้อโกงรัฐบาล ซึ่งมีโทษจำคุกและปรับ
- การลงโทษเชิงศาสนา (อัต-ตะอ์ซีร): ในกฎหมายอิสลาม บทลงโทษสำหรับการทุจริตและการกินทรัพย์สินโดยมิชอบคือ อัต-ตะอ์ซีร ซึ่งเป็นการลงโทษที่ไม่กำหนดตายตัว (เช่น การเฆี่ยน การปรับ การจำคุก การประจาน) ที่ผู้พิพากษาหรือผู้ปกครองเป็นผู้กำหนด
- การถอดถอนความจำเริญ: หนึ่งในบทลงโทษทางโลกที่สำคัญที่สุดสำหรับการฉ้อโกงและการโกหกคือ ความจำเริญในปัจจัยยังชีพจะหายไป
2. บทลงโทษในโลกหน้า:
-
- บาปและการลงโทษอันเจ็บปวด: การฉ้อโกงและการหลอกลวงถือเป็น บาปใหญ่ (กะบาอิร)
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ศ.ล.) กล่าวว่า: “ผู้ใดฉ้อโกงพวกเรา เขาไม่ใช่พวกเรา และการฉ้อฉลและการหลอกลวงนั้นอยู่ในนรก” (บันทึกโดยอิบนุ มัสอูด) - การถูกกีดกันจากการสนทนาและการมองดูจากอัลลอฮ์: มุสลิมได้บันทึกไว้ในซอฮีฮ์ของเขาว่าท่านนบี (ศ.ล.) กล่าวว่า:
“สามกลุ่มที่อัลลอฮ์จะไม่ตรัสกับพวกเขาในวันกิยามะฮ์ และจะไม่ทรงมองดูพวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด”
และหนึ่งในสามกลุ่มนั้นคือ ผู้ที่ขายสินค้าของตนด้วยการสาบานเท็จ (ซึ่งการทุจริตก็ตั้งอยู่บนการโกหกและการปกปิดความจริง)
- บาปและการลงโทษอันเจ็บปวด: การฉ้อโกงและการหลอกลวงถือเป็น บาปใหญ่ (กะบาอิร)
บทสรุปและข้อเสนอแนะ (ตามทัศนะของนักปราชญ์ร่วมสมัย)
นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์อิสลามร่วมสมัยเน้นย้ำถึง การห้ามการฉ้อฉลต่อกฎหมายและระบบของรัฐบาล ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน เพราะถือเป็นการ กินทรัพย์สินสาธารณะโดยมิชอบ และชาวมุสลิมทุกคนจะต้องมีความ สัตย์จริงและซื่อสัตย์ ในทุกธุรกรรมของตน
ดังนั้น ชาวมุสลิมทุกคนในประเทศไทยควรปฏิบัติ:
-
- ยึดมั่นในความสัตย์จริงและความซื่อสัตย์: ใช้โครงการ “คนละครึ่ง” ตามกฎระเบียบที่ประกาศไว้ (เพื่อซื้อสินค้าและบริการจริง)
- หลีกเลี่ยงการทุจริตทุกรูปแบบ: โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การแลกสิทธิ์เป็นเงินสด” เพราะเป็นการโกหกต่อรัฐอย่างชัดเจน
- กลับเนื้อกลับตัวและคืนเงิน: ผู้ที่พัวพันกับการทุจริตจะต้อง เตาบะฮ์ (สำนึกผิด) อย่างจริงใจต่ออัลลอฮ์ และพยายาม คืนเงิน ที่เอาไปโดยมิชอบให้กับหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง
การปฏิบัติตามกฎหมายและความสัตย์จริงในการทำธุรกรรม ถือเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกไม่ได้จากความศรัทธาและการปฏิบัติศาสนกิจของชาวมุสลิม
หมายเหตุ
ในโครงการ “คนละครึ่ง” มีการตรวจพบกลโกงหลายรูปแบบ ทั้งที่ร้านค้าและผู้ใช้สิทธิ์ร่วมกันกระทำผิด เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยรูปแบบหลัก ๆ มีดังนี้:
รูปแบบกลโกงที่พบบ่อยที่สุด: การแลกสิทธิ์เป็นเงินสด (โดยไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง)
นี่เป็นกลโกงที่พบมากที่สุด โดยมีลักษณะการกระทำที่หลากหลาย ดังนี้:
-
- ร้านค้าและผู้ใช้สิทธิ์สมยอมกัน:
เช่น โอนเงินให้ลูกค้า 100 บาท แต่ให้ซื้อของราคา 80 คิด 100
ผิดทั้งหลักการศาสนาอิสลามและกฎหมาย - กลโกง: ผู้ใช้สิทธิ์ทำทีชำระเงินค่าสินค้าผ่านแอป “เป๋าตัง” แต่ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง ร้านค้าจะโอนเงินสดคืน (อาจหักหัวคิว) ซึ่งเป็นการนำเงินรัฐมาแปลงเป็นเงินสด
- การตรวจสอบ: ภาครัฐและธนาคารสามารถตรวจสอบความผิดปกติ เช่น ยอดซ้ำ ยอดเดิม หรือสแกนจ่ายข้ามพื้นที่
- ร้านค้าและผู้ใช้สิทธิ์สมยอมกัน:
การหลอกให้โอนสิทธิ์ผ่านโซเชียลมีเดีย:
-
- กลโกง: มิจฉาชีพจะโฆษณาชักชวนให้ผู้ได้รับสิทธิ์นำวงเงินสิทธิ์มาแลกเป็นเงินสดผ่านช่องทางออนไลน์ (เช่น Facebook, Twitter) โดยหลอกขอข้อมูลส่วนตัว เช่น เบอร์โทรศัพท์ รหัสผ่าน หรือชื่อ-นามสกุล ที่ใช้เข้าแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อนำไปใช้สิทธิ์แทน โดยไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง และผู้ใช้สิทธิ์จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวน
รูปแบบกลโกงอื่น ๆ ของร้านค้า:
-
- ลดปริมาณสินค้าหรือบริการ (อ้างว่าผู้ซื้อจ่ายครึ่งเดียว):
กลโกง: ร้านค้าลดปริมาณสินค้าหรือบริการลงจากปกติ โดยอ้างว่าเนื่องจากผู้ซื้อจ่ายเพียงครึ่งราคา ทั้งที่ความจริง - ขึ้นราคาสินค้าเกินจริง:
กลโกง: ร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าหรือบริการให้สูงกว่าราคาปกติ โดยเห็นว่าลูกค้าจ่ายเพียงครึ่งเดียว ซึ่งทำให้ร้านค้าได้กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว - ลงทะเบียนร้านค้าปลอม:
กลโกง: มีการลงทะเบียนร้านค้าโดยไม่มีร้านค้าจริง หรือไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการใด ๆ โดยตรง เพื่อใช้เป็นช่องทางในการรับแลกสิทธิ์เป็นเงินสด
- ลดปริมาณสินค้าหรือบริการ (อ้างว่าผู้ซื้อจ่ายครึ่งเดียว):
ข้อควรระวังและโทษตามกฎหมาย:

-
- การกระทำดังกล่าวถือเป็นการ ทุจริต และ ฉ้อโกงโครงการของรัฐ
- ทั้ง ร้านค้า และ ผู้ใช้สิทธิ์ ที่ร่วมกระทำผิดมีความเสี่ยงที่จะถูก ระงับสิทธิ์, เรียกคืนเงิน, และอาจถูก ดำเนินคดีอาญา ในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ
7,617 total views, 2 views today

More Stories
จุฬาราชมนตรี: ผู้นำสองสถานะในวิกฤต “มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568” ผู้ประสานงานและเยียวยาจิตใจ
จิตอาสาภาคประชาชน: เอกภาพบนหลักการ แตกต่างในรายละเอียด “เติมเต็มช่องว่างที่รัฐตกหล่น”
เจาะลึกคุตบะห์ญุมอะห์จะนะ: “ป่าคอนกรีต” สู่มัสยิดศูนย์บัญชาการภัยพิบัติ