ชายแดนใต้:รูปแบบการปกครองพิเศษ การรวมศูนย์อำนาจที่ชัดเจนที่เดียวในไทย “ปัญหาและทางออก”
บทเรียน 3 วัน 12 เวทีที่นราธิวาสกมธ.สันติภาพ
อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการเจรจาสันติภาพและข้อเสนอทางออกทางการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน…
ในห้วงวันที่ 31 พฤษภาคม -2 มิถุนายน 2567 ได้มีโอกาสร่วมคณะกับทางกมธ.สันติภาพนำโดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือเป็นที่รู้จักสั้นๆในวงการสื่อ กมธ.สันติภาพชายแดนใต้
ซึ่งนายจาตุรนต์ ฉายแสง นำคณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ฯ สภาผู้แทนราษฎร มารับฟังความคิดเห็นประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายหลังจากที่กรรมาธิการจัดเวทีรับฟังมาทุกภูมิภาคเริ่มตั้งแต่พบนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ สะท้อน “ปัญหาไร้แหล่งงาน หลังจบการศึกษา แถมมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาสูงที่สุดในประเทศ ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ คุณภาพการศึกษารั้งท้าย” โดยมีข้อเสนอแนะ 8 ข้อ ดังนี้
1. พัฒนาแหล่งงานในพื้นที่ จ.นราธิวาสและชายแดนภาคใต้ สนับสนุนให้มีแหล่งอุตสาหกรรมรองรับแรงงานในพื้นที่ที่จะสำเร็จการศึกษาหรือคนว่างงาน ส่งเสริมการอบรมทักษะอาชีพที่รองรับเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของพื้นที่อย่างยั่งยืน
2. ส่งเสริมและสนับการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา และเปิดโอกาสให้เยาวชนในพื้นที่เข้าถึงแหล่งทุนการศึกษามากขึ้น
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ให้ทันสมัยและเพียงพอ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การคมนาคม การขนส่ง เป็นต้น เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและความปลอดภัยของประชาชน
4. พัฒนาการสื่อสารภาครัฐที่รวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพในหลากหลายช่องทาง เช่น การสื่อสารด้านภัยพิบัติ เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และป้องกันการสื่อสารที่บิดเบือนและการเข้าใจที่ผิดพลาด
5. ส่งเสริมทักษะการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวัฒนธรรมในพื้นที่ด้วยงานวิชาการ งานวิจัย และผลักดันสู่การสร้าง “คุณค่าและมูลค่า”
6. สนับสนุน ส่งเสริมแนวทางการใช้ชีวิตร่วมกันบนความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนา
7. ควรมีกระบวนการสำรวจความต้องการ ผลดี ผลเสีย หรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น กรณีที่ภาครัฐจะพัฒนา หรือใช้สอยทรัพยากรในพื้นที่ และต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่
8. สนับสนุนเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมฮาลาล
หลังจากนั้นรับฟังกลุ่มสมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ ซึ่งเคยพบกับ กมธ.แล้วในเวทีที่ จ.ปัตตานี
โดยในครั้งนี้ทางสมัชชาได้มาสะท้อนภาพรวมของการจัดงานมลายูรายา 2024 (Melayu Raya 2024) ที่จัดไปเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กิจกรรมมลายูรายาถูกจัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ในปีนี้จัดไปเมื่อเดือน เม.ย. ภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นคือภาพเยาวชนมุสลิมสวมชุดมลายูรวมตัวกันที่หาดวาสุกรี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี นับหมื่นคน แต่เมื่อ กมธ.สอบถามตัวแทนสมัชชาฯ ถึงที่มาของการจัดกิจกรรม กลับพบว่าเกิดขึ้นมาจากปัญหาของความไม่เข้าใจเรื่องสังคมพหุวัฒนธรรมของภาครัฐ
ผู้มาให้ข้อมูลสะท้อนว่า “พหุวัฒนธรรม” ซึ่งถูกอธิบายจากรัฐทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ทำให้คิดไปว่าคือการทำให้สังคมมลายูถูกกลืนหายไปจากการจัดกิจกกรมของรัฐที่มักถูกอ้างว่าเพื่อส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม และรัฐก็ไม่ออกมาอธิบายว่าจริงๆ แล้วรัฐต้องการส่งเสริมอะไรกันแน่ จึงทำให้ภาคประชาสังคมจัดกิจกรรมขึ้นมาเอง และใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนเข้ามาออกแบบกิจกรรม
ก่อนจัดกิจกรรมผู้จัดได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่รัฐมาหลายครั้ง อะไรที่รัฐไม่เห็นด้วยก็จะตัดออกไปจากกิจกรรม แม้กระทั่งเพลงที่จะใช้ในงาน ก็ส่งเนื้อเพลงให้เจ้าหน้าที่ดูก่อน
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมนี้ในปี 2565 คือมีการดำเนินคดีกับนักกิจกรรม 9 ราย ด้วยข้อหาที่รุนแรง คืออั้งยี่ซ่องโจร ทั้งๆ ที่เป้าหมายของพวกเขาเพียงเพื่อรณรงค์ทางวัฒนธรรมมลายู และสร้างสำนึกในอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ แต่สิ่งที่รัฐทำไม่เพียงเป็นการใช้กฎหมายพิเศษปิดกั้นการแสดงออกเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ แต่ยังทำให้ประชาชนรู้สึกว่าสิ่งที่รัฐรับปากไว้ก็อาจทำไม่ได้จริง ไม่น่าเชื่อถือ”
ผู้ให้ข้อมูล บอกต่อว่า ในปีนี้กิจกรรมเป็นไปด้วยความราบรื่น และได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย แต่ก็มีบางคนเล่าว่าก่อนจัดกิจกรรม เจ้าหน้าที่ก็ยังให้ผู้ใหญ่บ้านในบางหมู่บ้านประกาศไม่ให้เยาวชนไปร่วมกิจกรรม
หลังจากนั้นวิ่งตรงไปที่อำเภอตากใบเพื่อพบกับกลุ่มผู้เสียหายตากใบที่ส่วนกำลังฟ้องรัฐแต่
นางสาวนวลน้อย ธรรมเสถียรที่เดินทางมาในฐานะที่ปรึกษากมธ.สันติภาพชายแดนใต้แบะได้รับภารกิจเป็นหนึ่งในคณะรายงาน สะท้อนว่า
“กรรมาธิการสันติภาพคงจะได้ลิ้มรสปัญหาผลกระทบของความขัดแย้งเป็นประสบการณ์ตรงแล้ว หลังจากที่ดีเบทและรับฟังปัญหาจากฝ่ายต่างๆมานานหลายเดือน
การไปรับฟังปชช.ที่นราธิวาสวันนี้มีอาการที่เป็นเรื่องก้ำกึ่งมาก ในเชิงสถานการณ์ ช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกิดในนราธิวาสถี่กว่าที่อื่น อันนี้น่าจะทำให้มีการระมัดระวังเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่การดูแลกันมากก็จะมีผลทางตรงข้าม
ในขณะที่เราต้องเข้าใจข้อเท็จจริงว่า เมื่อครอบครัวผู้เสียหายตัดสินใจฟ้อง มันเป็นการอัพเกมเรื่องตากใบอย่างแรงมาก เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดแม้จะมีความพยายามมาก่อนเรื่องชาวบ้านจะฟ้องจนท. ระดับของแรงกดดันมากขนาดไหนก็คือจะเห็นว่า หลังจากที่มีข่าวว่าครอบครัวจะฟ้อง ก็มีการเยี่ยมเยียนจากจนท.ทันที คนนอกพท.อย่างเราไม่รู้ว่า การดำรงอยู่ของชาวบ้านที่ต้องเลี้ยงตัวเองอยู่บนความหล่อแหลมแบบนี้มันลำบากขนาดไหน คือเราเข้าใจแต่เราไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุด
วันนี้เราจึงไม่ได้เห็นภาพการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้เสียหายตากใบ” หลังจากนั้นก็มุ่งตรงไปพบชาวบ้านขาวพุทธ ที่วัดชลธาราสิงเหอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า “มาถึงนราธิวาส ไม่ได้มาฟังภาษาเจ๊ะเหที่ตากใบ ก็เหมือนมาไม่ถึงครับซึ่งคณะกรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ ฯ มารับฟังประชาชนความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่ จ.นราธิวาส และได้มาจัดเวทีขึ้นที่วัดชลธาราสิงเหที่ตากใบด้วย ถือเป็นเวทีที่ 4 ของในการเดินทางมาครั้งนี้ ซึ่งนอกจากพวกเรามาเรียนรู้การอยู่ร่วมกันของพี่น้องเจ๊ะเห โดยเฉพาะการอนุรักษ์ภาษาถิ่นแล้ว เรายังมารับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นโดยตรงจากประชาชนในพื้นที่ ที่ได้สะท้อนความต้องการของพวกเขาที่จะทำให้การสร้างสันติภาพเกิดขึ้นจริง” ชาวบ้านสะท้อนสอดคล้องกันว่า ควรอนุรักษ์รักษาภาษาถิ่นที่นี้คือเจ๊ะเหซึ่งผู้เขียนเสนอนอทางออกที่ยั่งยืนคือการบรรจุวิชาภาษาถิ่นในสาระเพิ่มเติมในหลักสูตรสถานศึกษาเพราะทุกสถานศึกษามีอำนาจตามพรบ.การศึกษาแห่งชาติในการกำหนดสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองผ่านความเห็นชอบองคณะกรรมการสถานศึกษานั้นๆซึ่งชุมชนสามารถมีส่วนร่วมไม่เพียงที่เจะเหเท่านั้นแต่โรงเรียนในที่อื่นๆของประเทศไทยก็ควรบรรจุภาษาถิ่นในหลักสูตรสถานศึกษาด้วยเช่นกันหรือวิชาอื่นๆที่เหมาะสมในชุมชนนั้นๆ
นี่คือภารกิจเต็มเยียดวันที่หนึ่ง
วันที่สอง 1 มิถุนายน 2567 พบปะสตรี ชาวบ้านเกี่ยวกับปัญหาที่ดิน ด่านศุลกากร และผู้ได้รับผลกระทบที่มูโนะ ซึ่งสตรีชายแดนใต้ในนามคณะกรรมการศูนย์ประสานงานด้านเด็กและสตรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอมีส่วนร่วมบนโต๊ะเจรจาสันติภาพชายแดนใต้ ระหว่างรัฐกับผู้เห็ึนต่างที่มาเลเซียพร้อมได้ยื่นข้อเสนอด้านเด็กสตรีและกลุ่มเปราะบางในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะกรรมาธิการสันติภาพ (เวลา 9.30 น.ณ หอประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส
https://youtu.be/TqzKjWx97OE?si=EpMCNn1uIswedDDR) หลังจากนั้นพบกับ Tanah Kita Network อันเป็นเครือข่ายชาวบ้านซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปทับที่ที่ดินของประชาชนและการไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน ซึ่งทางเครือข่ายนำข้อเสนอรายละเอียดปัญหาและแนวทางในการแก้ไขปัญหา เพื่อที่คณะกรรมาธิการฯ จะได้นำไปประมวลและสังเคราะห์รวมในรายงานการศึกษาที่จะเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำมาสู่การสร้างสันติภาพและการแก้ไขความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามหลักการที่ว่า “สิทธิและความมั่นคงในที่ดิน คือรากฐานหนึ่งของสันติภาพชายแดนใต้”(อ่านเพิ่มเติมใน https://share.csitereport.com/share.php?post_id=0000041028) ช่วงบ่ายประมาณ เวลา 14.30-16.30 น.
กมธ.สันติภาพเดินทางไปพบกับเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ข้าราชการตำรวจรวมทั้งตัวแทนหอการค้านักธุรกิจเพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะด้านการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และความร่วมมือทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและมาเลเซีย ณ ห้องประชุมศุลกากรพิพัฒน์ อาคารด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสซึ่ง หลังจากด่านศุลกากรและคณะได้รายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ทางกมธ.สันติภาพชายแดนใต้ได้เสนอให้ด่านศุลกากรและคณะจัดทำข้อเสนอเพื่อทำให้ด่านศุลกากรสุไหงโกลก สามามารถเป็นด่านที่ส่งเสริมความยั่งยืน ของเศรษฐกิจชายแดนและความปลอดภัยของสังคม ด้วย นวัตกรรมและบริการที่เป็นเลิศ รวดเร็วและทับใจ มีประสิทธิ์ภาพ ประสิทธิผลในขณะกมธ.สันติภาพยังสนใจบทบาทรัฐในการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดนที่เรียกว่าความมั่นคงของมนุษย์มากกว่าความมั่นคงทางทหารในกลุ่มคนที่เปราะบาง กลุ่มคนชายขอบ และกลุ่มคนที่ไม่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ มูลค่าสินค้าที่หนีภาษีแต่
ใช้ในชีวิตประจำวันแต่ยังไม่ได้คำตอบในองค์รวมและข้อเสนอแนะ
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน https://share.csitereport.com/share.php?post_id=0000041030)
เวลาประมาณ 17.30 ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้านมูโน๊ะ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ภายหลังได้รับผลกะทบจากเหตุโกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟระเบิด เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2566 ซึ่งนายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า “ผมลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องมูโน๊ะ จ.นราธิวาส ในเหตุการณ์โกดังเก็บพลุระเบิด แม้ผ่านมาเป็นปีแต่ยังมีประชาชนกว่าร้อยครัวเรือนที่ยังไม่มีบ้านอยู่ในนามของ กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ฯ เตรียมแถลงเพื่อเร่งรัดรัฐบาลหลังกลับไปที่กรุงเทพฯ ทันทีครับ”
จากบทเรียนดังกล่าว สะท้อนว่า “ระบบราชการรวมศูนย์ทำให้การแก้ปัญหาชาวมูโน๊ะล่าช้าและการแก้ปัญหาในที่อื่นๆในกรณีคล้ายๆกันเช่นอุทกภัยชายแดนใต้ที่ผ่านมาก็เช่นกัน ก็เกิดจากการจัดการแบบรวมศูนย์ เช่น เรื่องของเรือ ที่ต้องอาศัยจากกระทรวงกรมที่แตกต่างกันไป ท้องถิ่นไม่มีทรัพยากรหรืออำนาจที่จะไปดำเนินการเองได้อย่างเต็มที่ การจัดการปัญหาภัยพิบัติในอนาคตจะต้องมึการบริหารที่เน้นจากท้องถิ่นมากขึ้น ให้คนใกล้ปัญหาได้เป็นคนแก้ปัญหา โดยไม่ต้องรอกระทรวงกรมต่างๆ เป็นหลักซึ่งในระยะยาวที่สุดเพื่อแก้ปัญหาอย่างทันที มีประสิทธิผล จำเป็นต้องมีการกระจายอำนาจ“ (อ่าน/ชมย้อนหลังใน
https://www.facebook.com/share/v/cx5k6tqj8Hn2YLdH/?และ https://www.facebook.com/share/v/mjNEactLGMVjL3dL/?)
วันที่สาม พบผู้บริหารการศึกษา และท้องถิ่น
10.00น.-12.00น.นายจาตุรนต์ ฉายแสงประธานคณะ กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือสันติภาพชายแดนใต้และคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการบริหารจัดการตนเองโรงเรียนต้นแบบจังหวัดนราธิวาส “โรงเรียนดารุสสาลาม”
โดยมนายฟัครุดดีน บอตอ ผู้จัดการโรงเรียนดารุสสาลาม แบะอดีตสว.จังหวัดนราธิวาส นายมูหามะรอสดี บอตอ รองผู้จัดการโรงเรียนดารุสสาลามนางนูรีฮัน เร็งมา ผู้อำนวยการโรงเรียนดารุสสาลามและ ดร.นูรเอ็ฮซาน บอตอ รองผู้อำนวยการโรงเรียนดารุสสาลาม เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้”
ซึ่งตัวแทนผู้บริหารทั้ง 4 ท่านได้เข้าร่วมเสนอแนวทางและร่วมแสดความคิดเห็นในการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในพื้นที่ โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายนัจมุดดีน อูมา ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ คณะผู้บริหาร .นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์รองเลขาธิการ ศอ.บต.
นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมโรงเรียนดารุสสาลาม อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
โดยเฉพาะนายฟัครุดดีน บอตอ เสนอการแก้ปัญหาใต้อย่างยั่งยืน นั้นจะต้องเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการศึกษาดั่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เคยใช้นโยบายการต่างประเทศร่วมกับประเทศกัมพูชา “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”เพราะตลอดไฟใต้ 20 ปี รัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุดแถมหมดงบประมาณหลายแสนล้านโดยใช้นโยบายการทหารและความมั่นคง แทนที่จะใช้งบประมาณพัฒนาการศึกษา แต่กลับใช้งบประมาณซื้ออาวุธเป็นต้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสสอนไว้ ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ คือแนวทางที่ถูกต้องและสามารถใช้แก้ปัญหาในพื้นที่ได้ดีที่สุด แต่ที่ลงมาทำงาน เข้าใจหรือไม่…ไม่เข้าใจเลย เข้าถึงมั้ย…ไม่เข้าถึงปัญหาเลย แค่สามอย่างนี้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา พอแล้วที่จะแก้ปัญหาที่นี่”
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ให้ทัศนะว่า “เช้านี้ผมมาลงพื้นที่โรงเรียนดารุสลาม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส อีกครั้งหนึ่ง เคยมาครั้งแรกในสมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ตอนนั้นเหตุการณ์ในพื้นที่กำลังข้มข้นและมีคนแนะนำว่าถ้าให้ดี อย่ามาที่นี่ ได้ยินอย่างนั้นผมเลยมาเยี่ยมเป็นที่แรกเลย สิ่งที่ผมจะเล่าบ่อย ๆ ก็คือผมลงมาเล่นฟุตซอลกับผู้อำนวยการหลายโรงเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ ตอนนั้นเราสนับสนุนสนามฟุตซอลขนาดมาตรฐานหลายแห่ง และไม่เคยมีสักแห่งที่ถูก ปปช.ตรวจสอบเลยแม้แต่สนามเดียว ?การมาในครั้งนี้มาในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อที่จะรับฟังความคิดเห็นของบุคลากรทางด้านการศึกษา ครู อาจารย์ รวมถึงนักเรียน ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการศึกษา รวมถึงก็รับรู้เข้าใจปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้หลักสูตรในประเทศไทยไม่ได้ปรับปรุงมากว่า 10 ปี ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของประเทศไทยทั้งประเทศในระยะหลังลดต่ำมาก เมื่อดูตัวชี้วัดในระดับโลกจะเห็นว่าประเทศไทยล้าหลังมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่พอมาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยิ่งแย่กว่าจังหวัดอื่นๆ เพราะชายแดนภาคใต้มีฝ่ายความมั่นคงมาทำหน้าที่จัดการศึกษาซึ่งผิดฝาผิดตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อฟังจากท่านผู้อำนวยการโรงเรียนวันนี้ เล่าว่าโรงเรียนมีหลักสูตร มีโครงการสอนหลายแบบที่ก้าวหน้ามาก เด็ก ๆ ทำโครงการวิทยาศาสตร์เข้าประกวดในระดับประเทศ เด็กนักเรียนต้องใช้แลบที่ได้มาตรฐาน จึงต้องไปใช้แลบของทางมหาวิทยาลัยทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างผลงาน
สอดคล้องกับ ศอ.บต.ที่นำครูหลายโรงเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาพบผมที่รัฐสภา ให้ข้อมูลว่ามีนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการเรียนวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ถึง 4,000 คน แต่ฝ่ายความมั่นคงมีงบประมาณเพื่อให้มีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ให้ได้ 4 ห้อง มีเด็กอยากเรียน coding อยากเรียน AI เรียนสิ่งที่สมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าฝ่ายที่ดูแลการศึกษาต้องตามให้ทัน เพราะยังติดอยู่กับคิดแบบเก่า ๆ ว่าเด็กในชายแดนภาคใต้ต้องการเรียนแต่ศาสนาไม่สนในวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ ก็ยิ่งสิ่งที่ควรส่งเสริมสนับสนุนก็กลับไม่ได้ทำ
โรงเรียนเอกชนที่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีเช่นนี้ยังมีอีกหลายแห่งทั้งในพื้นที่ชายแดนใต้และทั่วประเทศ แต่มีโรงเรียนรัฐบาลมาเปิดแข่งมาก รวมถึงไม่มีการสนับสนุนจากรัฐ ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเคยมีคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งเคยทำวิจัยและมาให้ข้อมูลกับผมว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งส่งเสริมอุดหนุนโรงเรียนเอกชน รัฐบาลจะยิ่งประหยัดงบประมาณด้านการศึกษาลง แล้วก็ให้ตัวเลขว่าถ้าทำกันเต็มระบบจะลดภาระของรัฐบาลเป็นหมื่นล้านบาททั่วประเทศ เพราะว่าโรงเรียนเอกชนเขาลงทุนอาคารสถานที่ ห้องเรียน โต๊ะเก้าอี้ รัฐบาลไม่ต้องลงทุนเอง ก็ควรเอามาอุดหนุนเรื่องครูให้ดี อุดหนุนเครื่องมือการเรียนการสอนที่เขาจำเป็น
หลักสูตรการเรียนการสอนในชายแดนภาคใต้จึงต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพื้นที่ ตรงกับผลสัมฤทธิ์ของทั้งประเทศและผลสัมฤทธิ์ของการเรียนศาสนา และจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของประชาชนครับ”
สำหรับ“ฟัครุดดีน บอตอ” อดีต สว.ถูกยิง ขึ้นศาลทหาร กว่า 15 ปีกับคดีที่ยังไร้จุดจบ
หลังจากนั้นพบกับผู้แทนผู้บริหาร ผู้มีประสบการณ์ด้านการปกครองท้องถิ่นเพื่อทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับท้องถิ่นซึ่งได้สะท้อนว่า “การปกครองที่ชายแดนใต้ถ้าไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตกับคนพื้นที่ปัญหาก็ไม่จบ
(ชมคลิปย้อนหลังใน https://youtu.be/WvJ2KU_XrnA?si=sGg1HZLx1R71DbLL
ซึ่งพบว่าจังหวัดชายแดนใต้นั้นเป็นเขตปกครองพิเศษอยู่แล้วแต่เป็นพิเศษที่ให้อำนาจส่วนกลางมากกว่าการกระจายอำนาจ”นายจาตุรนต์ ฉายแสง สะท้อนว่า
“การกระจายอำนาจ ควรเป็นรูปแบบการปกครองที่ให้ประชาชนมีอำนาจมีส่วนร่วมกำหนด การกระจายนี้สามารถกำหนดหลักเกณฑ์สำคัญให้คนส่วนน้อยในพื้นที่มีสิทธิประโยชน์เท่าเทียม ต้องมีหลักการบางอย่างให้คนส่วนน้อยได้รับรู้ ที่ผ่านมาการกระจายอำนาจทั่วประเทศล้าหลัง ยิ่งในชายแดนใต้ก็ล้าหลังเช่นกัน แต่ปัญหาคือชายแดนใต้มีปัญหาใหญ่กว่านั้น คือ มีการปกครองรูปแบบพิเศษ มีกฎหมายพิเศษ ลดเงื่อนไข สิทธิเสรีภาพ การเคลื่อนไหว การแสดงความเห็น นี่คือรูปแบบการปกครองพิเศษ การรวมศูนย์อำนาจที่ชัดเจนที่เดียวในไทย ดังนั้นการกระจายอำนาจในชายแดนใต้ต้องยกระดับขึ้นมาก่อน เพราะส่งผลให้เกิดปัญหาความยากจนที่สุด เศรษฐกิจแย่ที่สุด การศึกษาล่าหลังที่สุด ความไม่ยุติธรรม อัตลักษณ์ จึงต้องมองการกระจายอำนาจ ในชายแดนใต้แบบเข้าใจ”
จาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.สันติภาพฯสะท้อนว่า กมธ.สันติภาพมีภารกิจสองประการคือหนึ่งเสนอมาตรการแก้ไขตามอาการ เช่นเรื่องมูโน๊ะ สองปัญหาเชิงโครงสร้างหรือยุทธศาสตร์ ที่มีกรอบและกลไกลติดตามโดยกล่าวว่า “กมธ.จะไม่ใช่เพียงเสนอมาตรการแก้ไขตามอาการ เจอปัญหาเห็นปัญหาอะไรก็เสนอให้แก้ โดยจะพยายามโยงให้เห็นว่าปัญหาทั้งหมดนี้ เป็นปัญหาเชิงยุทธศาสตร์อย่างไร จะแก้ในเชิงยุทธศาสตร์อย่างไร โดยตั้งเป้าว่า อย่างช้าข้อเสนอของ กมธ.สันติภาพฯ จะเสนอเข้าสู่สภาฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ นอกจากนั้นเห็นว่า ควรมีกลไกอย่างใด อย่างหนึ่งที่ติดตามเรื่องชายแดนใต้ ในฐานะที่เป็นปัญหาระดับชาติ ส่วนจะเป็น กมธ.สามัญ, วิสามัญ หรือจะให้ทำอะไรต่อ ก็ต้องไปดูกันในสภาฯ”
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ยังให้ทัศนะอีกว่า
“การสร้างสันติภาพไม่ควรหมายถึงเฉพาะแค่กระบวนการพูดคุย แต่ควรจะมีความหมายกว้างกว่านั้น กล่าวคือ แม้ว่าเจรจาได้สำเร็จแล้ว แต่เราก็ยังต้องถามหาสันติภาพในความหมายที่ประชาชนได้ประโยชน์ ความขัดแย้งลดน้อยลง และมากกว่านั้น ในความเห็นผมสันติภาพก็คือต้องให้ประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างเท่าเทียมกัน แล้วยังจะต้องรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศทั้งประเทศร่วมกับประชาชนทุกจังหวัดในประเทศไทยดังนั้นการรับฟังความเห็นจากประชาชนทุกฝ่าย ผู้สนใจ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ได้รับผลกระทบ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้เมื่อการเจรจาจบไป แต่พื้นที่ยังจะเกิดเงื่อนไขความขัดแย้งหรือมีปัญหาอยู่ และทำให้พอมีความขัดแย้งใหม่ก็ต้องมาพูดคุยกันอีกในอนาคต”
“ประเด็นที่คณะกรรมาธิการศึกษาอยู่และอยากได้รับฟังความเห็นจากประชาชนคือ ท่านคิดเห็นอย่างไรกับการพูดคุยสันติภาพ มีความรับรู้แค่ไหน เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นจริงหรือไม่ มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร และอยากให้ประชาชน ทุกๆ ฝ่ายมีส่วนร่วมแค่ไหน”
“ประเด็นที่กว้างกว่านั้นก็คือ สังคมแก้ปัญหาสำคัญเหล่านี้ไปแล้วอย่างไร เช่น การเคารพอัตลักษณ์ยังต้องการอะไร ยังมีปัญหาอย่างไร, การเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความเข้าใจตรงกันเป็นอย่างไร, ความยุติธรรมความเท่าเทียมยังมีอยู่หรือไม่, ความปลอดภัยสำหรับทุกฝ่ายเกิดขึ้นได้หรือไม่, การพัฒนาในด้านต่างๆ ทั้งการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประชาชนคนยากคนจนประชาชนรากหญ้าหรือไม่ และการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้จริงหรือไม่ เป็นต้น”
“ถ้าเราอยากสร้างสันติภาพสันติสุขที่ยั่งยืน เราต้องหาคำตอบในการแก้ปัญหาสำคัญๆ ที่เป็นต้นเหตุเป็นรากรากเหง้าของความขัดแย้งให้หมดไป นี่คือโจทย์ใหญ่ของคณะกรรมาธิการที่ต้องศึกษาและทำเป็นข้อเสนอ ก็หวังว่าจะได้รับฟังความเห็นของท่านทั้งหลายอย่างเต็มที่”
“การรับฟังความเห็นครั้งนี้ดำเนินการโดยคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นทางการ เป็นการมารับฟังโดยเป็นเวทีเปิด ที่มีการเผยแพร่ไปทางสื่อออนไลน์ ขยายไปสู่ทั่วประเทศ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่คณะกรรมาธิการเห็นว่าการจะสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้มีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่แล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ว่าเรากำลังทำอะไรกัน”
“เรากำลังศึกษาอะไรกัน จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาอะไร มีศักยภาพมีอนาคตมีความหวังอย่างไร และประชาชนทั่วประเทศเริ่มจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภา และสังคมที่กว้างออกไปนั้นจะได้มีส่วนร่วมมีความเข้าใจและช่วยกันผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาต่อไป”
ดังนั้น รายงาน กมธ.สันติภาพ ควรครอบคลุม “แก้รากเหง้า พัฒนาที่ยั่งยืนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยเฉพาะเยาวชน คนรุ่นใหม่ที่พวกเขาจะใช้ชีวิตใน 10-20 ปีข้างหน้าซึ่งน่าจะมีสองส่วนหลักๆ คือ
– การปรับปรุงแนวทางการแก้ปัญหาของภาครัฐ
– ประเด็นรากเหง้าความขัดแย้ง
สำหรับประเด็นที่ควรพิจารณาศึกษาและโจทย์หลักในแต่ละประเด็น
1. ศึกษาลำดับเหตุการณ์ (Timeline) พลวัตของปัญหาความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นเรื่องสำคัญที่ต้องทาในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
2. ศึกษาความเข้าใจร่วมในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐต่อเรื่องการยกระดับความขัดแย้ง การแยกดินแดน และสิทธิในการกาหนดชะตากรรมตนเองที่เอื้อต่อการสร้างสันติภาพ
3. ศึกษานโยบาย กลไกโครงสร้าง และกฎหมายของรัฐที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาเพื่อให้การทำงานตอบโจทย์สภาพปัญหาและสามารถขับเคลื่อนให้เกิดสันติภาพได้จริง
4. ศึกษาพัฒนาการและข้อจากัดที่ผ่านมาของกลไกและกระบวนการเจรจาสันติภาพเพื่อเสนอแนะให้การเจรจามีประสิทธิภาพ เชื่อมโยง และส่งผลต่อการแก้ปัญหาได้จริง โดยเฉพาะศึกษา Peace Spoilers (กลุ่มที่บั่นทอนงานสันติภาพทั้งกลุ่มที่มีอาวุธและไม่มีอาวุธ) ว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้างที่จะเกิดและจะมีแนวทางป้องกันอย่างไร? นอกจากนี้ จังหวะก้าวในการเดินงานและสื่อสารต่อสาธารณะของผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการเจรจาสันติภาพ ที่กำลังควรต้องคำนึงถึงปัจจัยใดบ้างเพื่อให้เกิดการยอมรับจากทุกฝ่าย?
5. ศึกษากลไกและกระบวนการที่สามารถสร้างบทสนทนาพูดคุย (dialogue) สื่อสารและรับฟังความเห็นที่ครอบคลุมทุกฝ่าย (inclusive) ด้วยบรรยากาศที่ปลอดภัย (safe) ที่สำคัญจะสื่อสารกับคนในพื้นที่อื่นๆ อย่างไรให้เข้าใจและ/หรือไม่คัดค้านความพยายามในการสร้างสันติภาพในพื้นที่?
6. บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรในการประเมินติดตามและกากับดูแลกระบวนการสร้างสันติภาพ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะมีกลไกในการประเมินติดตามและกำกับดูแลกระบวนการสร้างสันติภาพ
(Parliamentary Oversight) อย่างไร? จะเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนสามารถตั้งประเด็นปัญหาต่างๆ มาหารือให้ได้ข้อสรุปร่วม?
7. วิธีที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมจากรัฐเพื่อให้สังคมกลับสู่ภาวะปกติและเดินหน้าต่อไปได้ซึ่งต้องยอมรับว่ามีเหตุการณ์หรือคดีสำคัญหลายคดีโดยเฉพาะโศกนาฏกรรมตากใบที่จะหมดอายุความ เอกสารกลับหาย ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม?
และควรดำเนินการให้เกิดความชัดเจนอย่างไร?
จะมีมาตรการอย่างไรในการปฏิบัติกับบุคคลที่ถูกดำเนินคดีซึ่งมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง รวมถึงผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้จากการใช้อาวุธมาสู่วิถีทางการเมือง? (ซึ่งอาจครอบคลุมถึงมาตรการดาเนินการให้สังคมกลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางอาวุธ (Disarmament) การปรับเปลี่ยนหรือแปลงสภาพกองกาลัง (Demobilization) และการนาผู้ที่เคยต่อสู้กับรัฐกลับคืนสู่สังคม (Reintegration))
ที่สำคัญสุดคือจะมีมาตรการสร้างความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อย่างไรให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้ (ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน – Transitional Justice)?
8. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลส่วนกลางกับประชาชนในพื้นที่ในทางการเมืองการปกครอง ที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่ การศึกษา ภาษา ศาสนา วิถีชีวิตวัฒนธรรม การจัดสรรทรัพยากรและอื่นๆ… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_756106
55,572 total views, 5 views today
More Stories
SEC ภาคใต้กับSEA สงขลา-ปัตตานี
สู่พรบ.สันติภาพ เพื่อประกันกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
ฮัจญ์ไทยในภารกิจทูตสันติภาพใน 3 ภารกิจ จชต.