พฤศจิกายน 27, 2024

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

ตอบข้อเรียกร้อง ต่อจุฬาราชมนตรี กรณีไม่เอามัสยิด (ตอนที่9 ข้อ9)

แชร์เลย

โดย…สมเดช มัสแหละ…
ผมเรียนทุกท่านนะครับ การแสดงความเห็น กรุณาแสดงความเห็นแบบสุภาพ อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าใครจะใช้คำไม่สุภาพ แต่เราไม่ควรตอบกลับในแบบเดียวกัน อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว เปราะบาง เป็นเรื่องระหว่างความเชื่อ การจะกล่าวถึงอีกฝ่ายต้องระมัดระวัง อย่าเหมารวม คนที่มีใจเป็นธรรม มีอารยะธรรมมีมากกว่า

การตอบข้อเรียกร้องข้อนี้เป็นข้อสุดท้าย ที่เลขาธิการ อปพส.ยื่นต่อท่านจุฬาราชมนตรี บางท่านอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ควรไปตอบอะไร แต่ผมมีเหตุผลที่ต้องตอบชี้แจง ด้วยเหตุผลดังนี้…

1. กลุ่มที่ยืนข้อเรียกร้องมีเจตนา ที่จะต่อต้าน และปลุกระดม ซึ่งขัดแย้งต่อคำดำรัสของสมเด็จพระสังฆราช ที่เคยกล่าวว่า “เราเหมือนครอบครัวเดียวกัน”

2. การยื่นหนังสือข้อเรียกร้อง โดยนำกำลังมวลชน มาในขณะที่ประมุขฝ่ายอิสลามมาทำพิธีสำคัญถือว่าไม่ให้เกียรติกัน

3. มูลเหตุที่ฝ่ายต่อต้านนำมากล่าวอ้างล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายมุสลิมได้พูด อภิปราย และเขียนเอง ซึ่งหากเราไม่ทำความเข้าใจ พี่น้องที่มีใจเป็นธรรม และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ อาจจะเข้าใจผิดได้ว่ามุสลิม มีเจตนาเช่นนี้จริง และผู้ไม่ปราถนาดีสามารถนำคลิปเหล่านี้ไปปลุกระดมทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

มาถึงข้อที่ 9.

9. เพื่อความเท่าเทียมกัน!!ของทุกๆศาสนาขอให้ท่านช่วยยกเลิก พ.ร.บ.ทุกฉบับของอิสลามที่มีอยู่ทั้งหมดได้เพราะศาสนาอื่นๆทั้งพุทธ คริสต์ไม่ได้มี พรบ.ใดๆคุ้มครองเลยมีแต่อิสลามที่มีพ.ร.บ.คุ้มครองและได้สิทธิพิเศษมากมายเหนือศาสนาอื่นๆ องค์กร อปพส.ซึ่งเป็นตัวแทนชาวพุทธจำนวนมาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงจะได้รับความเมตตา เพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันของคนไทยทุกศาสนา ทุกเชื้อชาติตามแบบ พหุวัฒนธรรม ที่ท่านปรารถนา

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พรบ.คือกฎหมายที่ใช้ควบคุมดูแล จัดระเบียบ ที่สำคัญมันเป็นกฎหมายของประเทศไทย ไม่ใช่กฎหมายของศาสนา

พรบ.อิสลามแปลง่ายคือกฎหมาย กฎระเบียบ ที่ใช้ดูแล ควบคุมเกี่ยวกับมุสลิม เฉกเช่น พรบ.สงฆ์นั้นเอง เหตุผลที่ต้องใช้เพราะเมื่อคนในศาสนิกมีมากขึ้น ต้องจัดระเบียบ เพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยต้องมีกติกา

การใช้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบคนมุสลิม ซึ่งมีเรื่องทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวด้วย จะใช้ พรบ.สงฆ์มาเทียบเคียงใช้ ก็ไม่ได้ เพราะมีรายละเอียดที่ต่างกัน

การออก พรบ.ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสมาชิกของรัฐสภา มีมุสลิมเป็นส่วนน้อย การที่ พรบ.จะผ่านสภาฯได้ ลำพังอาศัยมือของสมาชิกรัฐสภาที่เป็นมุสลิม รับรองว่า พรบ.นี้ไม่สามารถผ่านออกมาใช้งานได้เลย

ที่บอกว่าพุทธไม่มี พรบ.นั้นไม่จริง พรบ.สงฆ์คือ พรบ.พุทธ เพราะใช้กับพระสงฆ์ การดูแลศาสนาพุทธซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ทางรัฐก็มีองค์กรที่ชัดเจน คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งศาสนาอื่นๆไม่มีหน่วยงานเฉพาะแบบนี้ ส่วนกฎหมายที่ถือว่าเป็นของพุทธโดยตรงอีกอันหนึ่งคือกฎหมายห้ามดื่มเหล้าในบริเวณวัด ซึ่งในศาสนาอื่นๆไม่มี

แต่ถ้าหากจะอ้างว่ามุสลิมมีธนาคารอิสลาม ขอบอกเลยว่า อิสลามห้ามเรื่องดอกเบี้ย แนวคิดนี้เกิดขึ้นมิใช่เพื่อสนองเรื่องนี้อย่างเดี่ยว แต่ทางรัฐเองต้องการดึงเม็ดเงิน จากกลุ่มประเทศอาหรับ ให้นำเงินมาฝากธนาคารชนิดนี้ด้วย เพื่อเอื่อต่อการลงทุน

ถ้าจะว่าไปแล้ว กลุ่มทุนที่กู้ธนาคารอิสลามเพื่อลงทุนแทบหามุสลิมไม่ได้เลย มีแต่นักลงทุนที่มิใช่มุสลิมมากกว่า เพราะไม่ต้องมากังวลในเรื่องดอกเบี้ย

ส่วนพี่น้องชาวพุทธไม่มีข้อห้ามในเรื่องนี้ การทำธุรกรรมการเงินจะทำกับธนาคารแบบไหนก็ได้ เช่นเดี่ยวกับเรื่องอาหารฮาลาล ที่จะทานร้านไหนตรงไหนก็ได้ สะดวกกว่าคนมุสลิมมากมาย

ส่วนเรื่องฮัจญ์…ฮัจญ์เป็นมุขบัญญัติประการที่ 5 ซึ่งเป็นข้อบังคับของศาสนา ที่มีสถานที่ และเวลาที่ถูกกำหนดแน่นอน มุสลิมตั้งแต่อดีตมาแล้ว ก็ปฏิบัติหลักการข้อนี้ด้วยตัวเอง เพราะเงื่อไขข้อนี้คือ “หากมีความสามารถ” หมายถึงพร้อมในทุกๆเรื่อง รัฐไม่ต้องมาทำอะไรให้ มุสลิมก็ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว

มุสลิมจัดการตัวเองในเรื่องนี้มานาน เพียงแต่มุสลิมคือคนไทยคนหนึ่ง ที่ร่วมสร้างชาติ ร่วมพัฒนาชาติ เสียภาษีให้รัฐเช่นกัน การที่รัฐมาดูเรื่องนี้ในฐานะคนไทย และเรื่องนี้ก็เพิ่งมาปฎิบัติ ทั้งที่มุสลิมทำกันมาเองตั้งยาวนาน

หากให้มุสลิมจัดการกันเอง ก็ทำได้ และทำกันมานานแล้ว การที่รัฐเข้ามาจัดการ มีเหตุผลมากกว่าการบริการให้คนไทยมุสลิม แต่รัฐจัดการเพื่อความสัมพันธไมรตรีระหว่างประเทศด้วย เพราะในอดีตรัฐไทยกับรัฐซาอุดิอารเบีย มีความสัมพันธ์ที่สวยงามมาโดยตลอด ไทยได้เปรียบ ซาอุดิอารเบีย ที่ส่งคนไปทำงานในประเทศนี้ นำเงินเข้าประเทศมหาศาล นักท่องเที่ยวเศรษฐีนำมันนำเงินมาใช้ในบ้านเราปีละหมายร้อยล้าน

ถามว่าใครกันที่เป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอารเบีย ขาดสะบั่นลง ทุกท่านคงจำกรณีเพชรซาอุฯได้นะครับ ผู้ที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องหยุดลง นักท่องเที่ยวหายไป ไทยขาดรายได้มหาศาล ไม่ใช่คนมุสลิม..???

ส่วนที่ว่า “องค์กร อปพส.ซึ่งเป็นตัวแทนชาวพุทธจำนวนมาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงจะได้รับความเมตตา เพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันของคนไทยทุกศาสนา ทุกเชื้อชาติตามแบบ พหุวัฒนธรรม ที่ท่านปรารถนา”

องค์กร อปพส.ซึ่งเป็นตัวแทนชาวพุทธจำนวนมาก …ผมก็ไม่มั่นใจว่าใช่หรือไม่ ส่วนตัวหากผมจะดำเนินการอะไรก็ไม่กล้าอ้างว่าเป็นตัวแทนมุสลิมส่วนใหญ่ แม้จะใช้ในนามองค์กรก็ตาม แค่อ้างว่าเป็นตัวแทนมุสลิมส่วนหนึ่งเท่านั้น

ส่วนการอยู่ร่วมในสังคมที่สงบสุข ประวัติศาสตร์ก็ยืนยันแล้วว่า พุทธ มุสลิม หรือความเชื่ออื่นๆก็อยู่อย่างสงบสุขกันมาช้านาน

มุสลิมก็สร้างมัสยิดเพื่อเป็นสถานที่สมัสการละหมาดมาช้านานเช่นกัน ก็ไม่มีปัญหาอะไร บางพื้นที่มัสยิดกับวัดอยู่ติดกัน มีปัญหาที่มัสยิด เจ้าอาวาสและชาวพุทธก็มาช่วย วัดมีปัญหาอะไรอิม่าม และมุสลิมก็ไปช่วยเหลือ ยกตัวอย่าง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

ส่วนที่ผ่านมาบางเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดโดยมุสลิม ท่านจุฬาราชมนตรีก็ไม่นิ่งดูดาย เรียกมุสลิมนั้นมาตักเตือน หรือท่านออกแถลงการณ์ด้วยตัวเอง องค์กรมุสลิมไม่ได้นิ่งดูดายต่อความละเอียดอ่อนนี้เช่นกัน

เพียงแต่บางครั้งด้วยอารมณ์ จากเหตุการณ์บางอย่างแต่ละฝ่ายก็ใช้คำพูดที่รุนแรงต่อกัน นั้นเป็นเรื่องของบุคคล ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย หากมีการล้ำเส้น ก้าวก่ายกันเกิดขึ้น

 1,405 total views,  2 views today

You may have missed