บทเรียนจากมาเลเซียสู่การเมืองที่โอบรับทุกคนภายใต้แรงกดดันทางการเงิน
โดย อาจารย์ ฆอซาลี อาแว
บทนำ: ความต่างในความเหมือนของประชาธิปไตยชายแดน

ในฐานะผู้ที่ได้ศึกษาศาสตร์แห่งรัฐ (รัฐศาสตร์) ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซีย ข้าพเจ้าได้เห็นความแตกต่างและพลวัตที่น่าสนใจของระบอบประชาธิปไตยในสองประเทศนี้ ความต่างนั้นมีรากฐานมาจากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ (History) และภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่เป็นเอกลักษณ์ ทว่าเมื่อมองลึกลงไปในระดับการเมืองท้องถิ่นหรือภูมิภาค (State/Region) เราจะพบความคล้ายคลึงบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการเมืองชาติพันธุ์
การเมืองในระดับรัฐของมาเลเซียได้แสดงให้เห็นถึงความเหนียวแน่นทางอุดมการณ์และชาติพันธุ์ จนนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “พรรคที่มีอิทธิพลเหนือกว่า” (Dominant Party) ในหลายรัฐ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พรรค PAS ในรัฐกลันตัน, พรรค DAP ในรัฐปีนัง และ GPS ในซาราวัค ความสำเร็จนี้ถูกเชื่อมโยงกับจำนวนที่นั่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในระดับสหพันธรัฐ ทำให้รัฐเหล่านี้มีพลังต่อรองอย่างมีนัยสำคัญ
พลวัตการเมืองชายแดนใต้: จากกลุ่มวาดะห์สู่พรรคภูมิภาคนิยม และภัยของ “ทุนเทา”
เมื่อหันกลับมาพิจารณาบริบทการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย (3 จังหวัด และ 4 อำเภอของสงขลา) เราเห็นพัฒนาการที่เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มในรูปแบบของ “กลุ่มวาดะห์ (Wahdah)” สู่การสร้างพรรคที่เน้นความเป็นภูมิภาคอัตลักษณ์ชายแดนใต้ เช่น พรรคประชาชาติ
คำถามสำคัญคือ พลังการเมืองของภูมิภาคนี้เข้มแข็งเพียงพอที่จะสร้าง Dominant Party หรือสามารถกำหนดทิศทางการเมืองระดับชาติได้หรือไม่?
-
พลังต่อรองเชิงตัวเลข: หากนับ ส.ส. เขต 13 ที่นั่ง และรวม ส.ส. บัญชีรายชื่อ คาดว่าจะมีจำนวน ส.ส. รวมประมาณ 15–19 คน หากคิดเป็นร้อยละของ ส.ส. ทั้งหมด (400 คน) จะเท่ากับ 3.75% ถึง 4.75%
-
โอกาสในรัฐบาล: แม้ความเป็นไปได้ที่จะมี Dominant Party ที่กวาดที่นั่งทั้งหมดเป็นไปได้ยาก แต่การเมืองไทยมีสูตรที่ว่า หากพรรคการเมืองใดมี ส.ส. ประมาณ 10 คน (คิดเป็น 2% ของสภา) ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีประมาณ 2 ตำแหน่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังต่อรองเชิงกลยุทธ์ยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์การเมืองใหม่นี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่กว่า นั่นคือ อำนาจของ “ทุนเทา” ในการเมืองไทย ทุนเหล่านี้พร้อมที่จะ “ซื้อ” ทั้งนักการเมืองและประชาชน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความยึดมั่นในหลักศาสนาอิสลาม การเข้าถึงทรัพยากรและการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ได้กลายเป็นกลไกหลักที่บั่นทอนอุดมการณ์และการเมืองเชิงคุณธรรม การต่อสู้เพื่อสร้างการเมืองที่เป็นอัตลักษณ์และยึดมั่นในหลักการจึงต้องต่อสู้กับอิทธิพลทางการเงินที่เข้ามากัดกร่อนหลักจริยธรรมของนักการเมืองในพื้นที่
การสร้าง “ภูมิทัศน์การเมือง” ใหม่เพื่อทุกคน: การเมืองแห่งความเมตตา
ตัวเลขและสูตรทางการเมืองอาจเป็นเพียงกรอบหนึ่ง แต่เรายังพอที่จะสามารถกำหนด ภูมิทัศน์การเมือง (Political Landscape) ในรูปแบบอื่นได้หรือไม่? ภูมิทัศน์ที่ไม่จำกัดอยู่เพียงการจัดสรรอำนาจในมือของกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ หรือการผูกขาดโดย “บ้านใหญ่” ที่อาจได้รับผลประโยชน์จากทุนสีเทา
เราต้องสร้างพื้นที่หรือ แพลตฟอร์ม (Platform) ที่ออกแบบมาสำหรับทุกคน นำไปสู่ การเมืองที่หลากหลาย (Diverse Politics) ที่สามารถต้านทานแรงกดดันทางการเงินและอิทธิพลที่ผิดจริยธรรมได้ การเมืองเช่นนี้ต้องเป็นของประชาชนที่ประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีภูมิหลัง อายุ สถานะทางสังคม และกลุ่มชายขอบ/เปราะบางที่แตกต่างกัน
การเมืองเช่นนี้จะสามารถตอบสนองต่อหลักการอันยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลามที่ว่า:
Rahmatan Lil’alamīn (رحمة للعالمين)
ซึ่งหมายถึง ความเมตตาแก่โลกทั้งมวล (Mercy for all the worlds) การเมืองควรเป็นกลไกที่สร้างสรรค์การพัฒนาสังคมอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจหลักของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์จากอิทธิพลของทุนสกปรก คือ:
- การเมืองที่เป็นของประชาชน (Of the people): อำนาจสูงสุดเป็นของสาธารณะและไม่ถูกซื้อขาย
- การเมืองโดยประชาชน (By the people): ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างมีสำนึก
- การเมืองเพื่อประชาชน (For the people): การกระทำทุกอย่างมุ่งผลประโยชน์ของสาธารณชน
บทสรุป: ความหวังในการเมืองที่รังสรรค์และบริสุทธิ์
แม้การเข้าถึงแก่นแท้ของหลักการเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยากและต้องอาศัยเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้แรงกดดันของ “ทุนเทา” ที่พร้อมจะบิดเบือนการตัดสินใจทางการเมือง แต่การเมืองคือกลไกทางอำนาจที่จะสามารถ รังสรรค์ พัฒนา หรือกำหนดชะตากรรม ของสังคมใดสังคมหนึ่งได้ไม่มากก็น้อย
การเมืองชายแดนใต้ไม่ควรเป็นเพียงแค่เกมการรวมกลุ่มเพื่อแย่งชิงโควต้า หรือเป็นพื้นที่ที่ถูกครอบงำโดยผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างการเมืองที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และคำนึงถึงความหลากหลายของผู้คนในภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายที่สูงกว่าการจัดสรรตำแหน่งทางการเมือง แต่เป็นการสร้างความเมตตาและความเป็นธรรมให้แก่โลกทั้งมวลในบริบทท้องถิ่น ซึ่งต้องอาศัยความยึดมั่นทางอุดมการณ์ที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับแรงจูงใจที่มาพร้อมกับเงินทอง
#ยังมีความหวัง #ihaveadream ว่าสักวันหนึ่ง ภูมิทัศน์การเมืองใหม่นี้จะปรากฏขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ของเรา เพื่อนำมาซึ่งสันติสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเมืองที่ใสสะอาด
230 total views, 230 views today

More Stories
“มะกอซิด อัช-ชะรีอะฮ์” เส้นทางสู่ดุลยภาพของเยาวชน ในฐานะ “เราะห์มะตัน ลิล-อาละมีน”
‘บทเรียนชีวิต’ กลางวันเปิดเทอม! นักเรียน และครู โรงเรียนจริยธรรมฯ สวมบทจิตอาสาฟื้นฟูพื้นที่ 30 ไร่ หลังมหาอุทกภัยจะนะ
ภัยคุกคามจาก “สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร” ไม่ว่าชายแดนใต้หรือเขมร หรือที่ไหน? ในยุคดิจิทัล: ปัญหาและทางออก