อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

ปรากฏการณ์ “เขต 8” ที่ถูกนำเสนอผ่านข่าวมหาอุทกภัยหาดใหญ่ ได้สร้างภาพจำที่รุนแรงและเหมารวม (Stereotype) ให้กับชุมชนแห่งนี้ในฐานะ “ชุมทางสายดาร์ค” และ “แดนเถื่อน” อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่สำคัญและมักถูกมองข้ามคือ แก่นแท้ของชุมชนแห่งนี้คือคนดี ผู้ประกอบอาชีพสุจริต และคนตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องทนทุกข์
ข้อมูลที่ว่า “เขต 8” คือพื้นที่ของคนต่างถิ่นที่เข้ามาตั้งรกรากเพื่อทำงานในสถานบันเทิง หรือทำมาหากินสุจริต ไม่ยอมกลับภูมิลำเนาเพราะผูกพันกับหาดใหญ่ คือหลักฐานที่ชี้ว่า คนส่วนใหญ่ในพื้นที่คือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังดิ้นรนใช้ชีวิต
ปลาเน่าตัวใหญ่ ที่ทำลายความเชื่อมั่น
สิ่งที่สร้างปัญหาและความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในชุมชน แต่คือ “ปลาเน่าไม่กี่ตัวแต่ตัวใหญ่” ซึ่งหมายถึง กลุ่มผู้มีอิทธิพลและเครือข่ายธุรกิจสีเทา ที่ใช้พื้นที่นี้เป็นฐานปฏิบัติการ
- เสียงปืนและอิทธิพลมืด: การที่กู้ภัยถูกยิงขับไล่ในช่วงวิกฤตน้ำท่วม เพื่อกีดกันไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือฟรี เนื่องจากจะทำให้ผู้มีอิทธิพลเสียผลประโยชน์จากการเก็บค่าบริการรับส่งคนหนีน้ำในราคาสูงถึง 5 หมื่นบาท คือพฤติกรรมของปลาเน่าที่เห็นแก่ตัวและไร้มนุษยธรรมที่สุด
- การปกป้องกลุ่มผิดกฎหมาย: การเป็นแหล่งพักพิงของยาเสพติด สินค้าหนีภาษี หรือคนหนีคดี ไม่ได้มาจากความต้องการของชาวบ้านผู้สุจริต แต่มาจากอำนาจของ “ขาใหญ่” ที่สร้างผลประโยชน์ร่วมกับ “ข้าราชการสีเทา” ที่รู้เห็นเป็นใจ
คนดี ๆ ชาวบ้าน และคนตัวเล็กตัวน้อยในเขต 8 ไม่ได้เพียงแต่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติ (น้ำท่วมหนัก) แต่ยังต้องเผชิญกับ ภัยพิบัติทางสังคม ที่เกิดจากอิทธิพลของคนกลุ่มน้อยนี้ ทำให้พวกเขาถูกเหมารวมว่าเป็นอันตราย และถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือที่ควรได้รับในยามวิกฤต
ถึงเวลาที่รัฐต้องแยก “คนดี” ออกจาก “ปลาเน่า”
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า การปล่อยปละละเลยให้ “ปลาเน่าตัวใหญ่” อยู่ในระบบและมีอิทธิพลเหนือชุมชน คือการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างร้ายแรง การแก้ไขปัญหาจึงต้องมุ่งเป้าไปที่การ “ล้างบาง” กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้อย่างเด็ดขาด โดยไม่กระทบต่อสิทธิและความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่
การจัดการที่ต้องคำนึงถึง “คนตัวเล็กตัวน้อย”
- การแยกแยะและคุ้มครองคนดี: ภาครัฐและหน่วยงานความมั่นคงต้องใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการระบุตัวตนและจับกุม “ปลาเน่า” และเครือข่ายอิทธิพลให้หมดสิ้น ตามกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ ไม่ถือโอกาสรังแกใครทางการเมือง และครอบคลุมถึงการยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ แต่ขณะเดียวกันต้องประกาศและให้ความมั่นใจในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ คนดีในชุมชน ที่อาจถูกคุกคามจากการให้ข้อมูลหรือความร่วมมือ
- การเข้าถึงบริการของรัฐอย่างเท่าเทียม: ต้องมั่นใจว่าการพัฒนาและการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมจะเข้าถึงชาวบ้านผู้สุจริตทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งทุน การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และการสร้างความมั่นคงในอาชีพ เพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้ถูกทอดทิ้งและถูกบีบให้ต้องพึ่งพาอิทธิพลมืดอีกต่อไป
- การพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วม: รัฐต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเขต 8 มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง และร่วมกันเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลกลับมาสร้างความเสียหายได้อีก การเปลี่ยน “สลัมในเมือง” ให้เป็นชุมชนที่มีคุณภาพ ต้องมาจากการผนึกกำลังของรัฐกับ คนดีในพื้นที่
มหาอุทกภัยหาดใหญ่จึงเป็นทั้งบทเรียนราคาแพงและโอกาสครั้งสำคัญที่รัฐจะต้องแสดงความกล้าหาญและความจริงใจในการ “ล้างระบบ” และพิสูจน์ให้เห็นว่า กฎหมายมีไว้เพื่อคุ้มครอง “คนตัวเล็กตัวน้อย” ไม่ใช่เพื่อรับใช้ “ปลาเน่าตัวใหญ่” ที่กำลังกัดกินประเทศ
#เขต8หาดใหญ่ คนดี ทำธุรกิจสีขาว หาเช้ากินค่ำ มากกว่าคนไม่ดี แต่ ปลาเน่า ไม่กี่ตัวแต่ตัวใหญ่ ทำให้ คนดีๆ ชาวบ้าน คนตัวเล็กตัวน้อยเดือดร้อน
#รวมทั้ง
“..อย่าเอาเขต 8 มาเปรียบเทียบกับ 3 จังหวัดเลยครับ คน 3 จังหวัด ไม่เคยยิงกู้ภัย ไม่เคยปล้นร้านสะดวกซื้อ ไม่เคยปล้นเหล้าเบียร์ ไม่เคยทุบกระจกร้านค้าเพื่อขโมยของทั้งอาหารและเครื่องดื่ม จิตอาสาพี่น้องมุสลิมแจกอาหารให้คนน้ำท่วมในทุกศาสนา..”
1,531 total views, 4 views today

More Stories
“เท่าเทียมเป็นธรรม ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน สามัญหรือศาสนา”: ข้อเสนอจากสมาคมฯ ภาคใต้ ชี้เป้าบทบาท ศธ. ในการฟื้นฟูการศึกษาหลังน้ำท่วม
สภานักวิชาการมุสลิมแห่งประเทศไทย: ก้าวสำคัญสู่ “ศูนย์กลางอิสลามศึกษาแห่งภูมิภาค”
ความสำคัญของการจัดศพมุสลิมในภาวะวิกฤต: บทเรียนจากมหาอุทกภัยใต้และการรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่