
ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมไทยเผชิญหน้ากับความขัดแย้งร้าวลึกในหลายพื้นที่ ทั้งความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดย อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
การประกาศแนวปฏิบัติใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่เน้นย้ำให้มีการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ตั้งแต่ระดับชั้น ป.1 ถึง ม.6 สะท้อนความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เยาวชนไทยเข้าใจอดีตและตระหนักถึงบทบาทพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมไทยเผชิญหน้ากับความขัดแย้งร้าวลึกในหลายพื้นที่ ทั้งความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการ ศธ. จึงเป็น โอกาสสำคัญ ในการปฏิรูปการศึกษาประวัติศาสตร์ให้เป็น “ประวัติศาสตร์สมานมิตร” อันเป็น “วัคซีนสำคัญ” ในการแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสังคมสันติสุข
ภัยคุกคามจาก “ข่าวปลอม” และความล้มเหลวของการศึกษา
สถานการณ์ความขัดแย้งร่วมสมัยได้เผยให้เห็นมหันตภัยของ “ข่าวปลอม” (Fake News) ซึ่งกลายเป็น “อาวุธใหม่ในสงครามข้อมูล” ที่สร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่:
- ข่าวปลอมระหว่างประเทศ: การกล่าวหาว่าประเทศไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา ซึ่งถูกตรวจสอบพบว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์เครื่องบินฉีดน้ำดับไฟป่าในสหรัฐอเมริกา
- ความขัดแย้งทางศาสนาในชายแดนใต้: การเผยแพร่คลิปข่าวเท็จที่สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และธนาคารอิสลาม รวมถึงคลิปกล่าวหาว่า “การสร้างมัสยิดจะนำสู่ความรุนแรง”
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า “การศึกษาของเราล้มเหลวจนน่าวิตก” ตามทัศนะของ ดร.วุฒิศักดิ์ พิศสุวรรณ เนื่องจากระบบการศึกษาไทยขาดการสอนคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทำให้ประชาชนเชื่อข่าวลวงได้ง่ายและถูกชักจูงด้วยอคติที่มีอยู่เป็นทุนเดิม
โอกาสในการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แนวใหม่: หลุดพ้นจากการท่องจำ

แนวทางใหม่ที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ. (ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์) มอบหมายให้ สพฐ. ขับเคลื่อนคือการเปลี่ยนการเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากการท่องจำไปสู่การ คิดวิเคราะห์อย่างเท่าทัน:
- เน้นการบูรณาการสาระการเรียนรู้ และการใช้ข่าวสารและสถานการณ์ร่วมสมัยเป็นฐาน
- ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการวัดและประเมินผล เช่น ประเมินจากการอภิปราย การเขียนสะท้อนความคิด หรือโครงงาน
- การเรียนประวัติศาสตร์ที่ดีไม่ใช่แค่การสร้างความภาคภูมิใจ แต่คือการเรียนรู้เพื่อ อธิบายไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และแสดงถึงการ เคารพในอัตลักษณ์ซึ่งกันและกัน
การยอมรับ “อัตลักษณ์” และ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น”
ประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการเปิดพื้นที่ให้ประวัติศาสตร์มีความหลากหลาย
- อัตลักษณ์: การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีประเด็นละเอียดอ่อนเรื่องการ ไม่ยอมรับ/ไม่เคารพ ว่าประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็น ชาวมลายู ซึ่งคำว่า “มลายู” มักไม่ปรากฏในนโยบายการศึกษา
- หลักสูตรท้องถิ่น: องค์กรภาคประชาสังคมเสนอว่าโรงเรียนควรมีอำนาจในการออกแบบหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อให้นักเรียนรู้จักตัวเอง และเห็นคุณค่าของการอยู่ท่ามกลางความหลากหลาย
- ครูและมุมมองที่เป็นอาวุธ: ครูต้องมีบทบาทสำคัญในการติดตั้ง “มุมมองที่เป็นอาวุธ” ให้กับนักเรียน คือการสอนให้มีมุมมองที่หลากหลาย เปิดรับความแตกต่าง และไม่ด่วนตัดสินจากความรู้สึก
“ความจริง 3 ระดับ”: วิธีวิทยาเพื่อการเยียวยาความขัดแย้งร้าวลึก
เพื่อให้การพูดคุยประวัติศาสตร์นำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริง ดร.ชาญชัย ชัยสุขโกศล ได้นำเสนอวิธีวิทยา “ความจริง 3 ระดับ” (Three Levels of Truth) ซึ่งพัฒนาขึ้นจากจิตวิทยางานกระบวนการ และถูกใช้ในพื้นที่สงคราม เช่น รวันดา และโคลัมเบีย
แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งมักเกิดจากการพูดถึงความจริงคนละชั้น:
- ความจริงเห็นพ้อง (Consensus Reality): ความจริงกระแสหลักที่ผู้มีอำนาจกำหนด เช่น กฎหมาย กติกา นโยบาย เป็นชั้นที่มักถกเถียงไม่รู้จบ
- ความจริงเหมือนฝัน (Dreamlike Reality): ความรู้สึกที่อยากพูดแต่พูดไม่ได้ อคติ ความเจ็บปวดที่ถูกกดไว้ เป็นเหมือน ระเบิดเวลา
- ความจริงแก่นแท้ (Essence Reality): คุณค่าสากลที่ทุกฝ่ายต้องการ เช่น ศักดิ์ศรี ความเป็นธรรม ความไว้วางใจ ความปลอดภัย สันติภาพ
การจัดความสัมพันธ์ระหว่าง “ความเป็นไทย” และ “ความเป็นมุสลิม”
คู่มือ “แนวทางการจัดการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมหน้าที่พลเมือง (สำหรับพลเมืองไทยมุสลิม)” วางหลักคิดสำคัญดังนี้:
- ความเป็นไทย: คือการเป็นพลเมืองภายใต้กฎหมาย ยอมรับความหลากหลายชาติพันธุ์และศาสนา ไม่ขัดแย้งกับความเป็นมุสลิม
- ความเป็นมุสลิม: คือการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เหนือมิติรัฐชาติ แต่ความรักต่อแผ่นดินถิ่นเกิดเป็นธรรมชาติ และไม่เป็นสิ่งต้องห้าม หากไม่ขัดหลักอิสลาม
แนวทางนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยมุสลิมสามารถเป็นพลเมืองที่ดีและภูมิใจในชาติ โดยยังคงยึดหลักการศาสนา
ข้อสรุปและข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสันติภาพ
การจัดการเรียนรู้ “ประวัติศาสตร์สมานมิตร” เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสังคมสันติสุขอย่างยั่งยืน เพื่อทำให้คำสั่งของ รมว.ศึกษาฯ เกิดผลจริง ควรผลักดันข้อเสนอจากเวทีสานเสวนา ได้แก่:
- จัดกิจกรรมสานเสวนาประวัติศาสตร์ในทุกพื้นที่ เพื่อเยียวยาความเจ็บปวด คืนความยุติธรรม
- ศอ.บต. จัดทำรายวิชา/กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์สมานมิตรสำหรับข้าราชการในพื้นที่
- กระทรวงศึกษาธิการจัดพิมพ์เนื้อหาประวัติศาสตร์สมานมิตรสำหรับทุกระดับชั้น
- โรงเรียนออกแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติควบคู่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
การเปลี่ยนประวัติศาสตร์จาก “อุดมการณ์ทางการเมือง” ไปสู่ “วัคซีนสำคัญ” ที่ปลูกฝังการคิดวิเคราะห์อย่างเท่าทัน จะช่วยเยียวยาบาดแผลในอดีต และสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน

หมายเหตุบทความนี้เรียบเรียงจากวิเคราะห์
-
คู่มือแนวทางการจัดการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมหน้าที่พลเมือง (สำหรับพลเมืองไทยมุสลิม)
https://deepsouthwatch.org/th/node/8595 -
Fake News ในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
https://thaingo.org/content/detail/6069/5 -
“สานเสวนาสมานมิตรประวัติศาสตร์บาดแผลควรทำคู่ขนาน”
https://www.tcijthai.com/news/2024/10/article/13954 -
สานเสวนาประวัติศาสตร์เพื่อสังคมสมานมิตร
https://theactive.thaipbs.or.th/video/politics-20240304 -
เพื่อนรักต่างศาสนา
https://ihrp.mahidol.ac.th/wp-content/uploads/Book_Interfaith-Buddy-For-Peace.pdf -
วิดีโออธิบายวิธีการจัดกระบวนการเชิงลึก ความจริง 3 ระดับ
http://www.youtube.com/watch?v=cscqqhqeCPU
3,952 total views, 2 views today

More Stories
การบูรณาการบทเรียนอิสลามจากสถานการณ์น้ำท่วม สู่การพัฒนาสมรรถนะการจัดการภัยพิบัติในศตวรรษที่ 21
‘บทเรียนชีวิต’ กลางวันเปิดเทอม! นักเรียน และครู โรงเรียนจริยธรรมฯ สวมบทจิตอาสาฟื้นฟูพื้นที่ 30 ไร่ หลังมหาอุทกภัยจะนะ
สช. สงขลา โซ่ข้อกลาง “ฟื้นฟูการศึกษาเอกชนหลังอุทกภัยใหญ่: จากช่วยเหลือฉุกเฉินสู่กลไกเยียวยาจากรัฐบาล