ธันวาคม 7, 2025

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

รายงานพิเศษ: ทุกภาคส่วนรวมพลัง! นำบทเรียนอดีต สู่แผนรับมือ ‘น้ำท่วมใต้’ ปลายปี 2568 ด้วยฐานงานวิจัย

แชร์เลย

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ทุกท่าน
16 พฤศจิกายน 2568

เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ: บทเรียนที่ต้องจดจำ

     พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังเผชิญกับสัญญาณเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะในห้วง 17-22 พฤศจิกายน 2568 ตามการแจ้งเตือนของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งคาดการณ์ปริมาณฝนที่ตกหนักและอาจนำไปสู่ภาวะน้ำล้นตลิ่งในลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำสายบุรี และแม่น้ำตรัง

     ด้วยบทเรียนจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในอดีต (เช่น ปี 2554 และ 2567 ที่ถือเป็นครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี) ที่ได้สร้างความเสียหายรุนแรงและซ้ำซาก ทั้งจากปัจจัยทางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการขยายตัวของชุมชนที่กีดขวางทางน้ำ ทำให้ปีนี้ทุกภาคส่วนจึงมุ่งเน้นการจัดการภัยพิบัติที่ครอบคลุมและใช้หลักการทางวิชาการมากขึ้น

‘วิจัยภัยพิบัติ’ ขับเคลื่อนแผนจัดการ: ทำไมต้องทำ?

     การรับมืออุทกภัยในครั้งนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจน เนื่องจากมีการผนึกกำลังของหน่วยงานหลักในพื้นที่และเครือข่ายวิชาการเพื่อร่วมกันวางแผนจัดการตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based Management)

เป้าหมายหลักในการใช้บทเรียนและงานวิจัย

  1. สร้างระบบป้องกันและเตือนภัยที่แม่นยำและเชื่อมโยง:
    บทเรียนในอดีตชี้ว่าการขาดประสิทธิภาพในการจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลภัยพิบัติเป็นปัญหาสำคัญ ปีนี้จึงมีการพัฒนาศูนย์บัญชาการด้านข้อมูลในท้องถิ่น โดยเฉพาะการนำข้อมูลครัวเรือนยากจนและพื้นที่เสี่ยงภัยมา Mapping ร่วมกับระบบน้ำ เพื่อสามารถชี้เป้าช่วยเหลือได้ทันท่วงทีและตรงจุดที่สุด (ดังที่ บพท. ได้สนับสนุนการสร้างกลไกนี้ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยแก้จนในพื้นที่)

  2. พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม:
    จากบทเรียนเรื่องสิ่งกีดขวางทางน้ำ การขุดลอกลำน้ำ และความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ (ตามแนวคิด “ท่วมในทางก่อนท่วมในทุ่ง” และการพัฒนา “แก้มลิง”) ทำให้รัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นเร่งดำเนินการตามแผนงานป้องกันอุทกภัยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง (เช่น โครงการป้องกันน้ำท่วมสุไหงโก-ลก) นอกจากนี้ ยังมีการนำนวัตกรรมเรือกู้ภัยอัจฉริยะ (เรือกู้ภัย Wi-Fi) ซึ่งเป็นผลงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) มาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าพื้นที่ประสบภัยทันที

  3. สร้างกลไกความร่วมมือและเสริมศักยภาพท้องถิ่น:
    ภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดนใต้มีบริบททางภูมิสังคมและภูมิศาสตร์การเมืองที่ซับซ้อน ศอ.บต. จังหวัด เทศบาล/อบต. ชุมชน ภาคประชาสังคม และมหาวิทยาลัยในพื้นที่ (เช่น ม.นราธิวาสราชนครินทร์, ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี) จึงร่วมกันกำหนด “กลไกความร่วมมือ” เพื่อบูรณาการกำลังพลและทรัพยากรอย่างเป็นระบบ และ บพท. ยังได้ร่วมกับ สทนช. ในการพัฒนาหลักสูตรนักบริหารจัดการน้ำระดับท้องถิ่น เพื่อให้บุคลากรในพื้นที่สามารถเผชิญเหตุและฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

การจัดการ: อย่างไรจึงจะสำเร็จ?

การวางแผนจัดการน้ำท่วมใต้ในปัจจุบันมุ่งเน้นการบูรณาการแบบองค์รวม (Holistic Integration) โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:

  • การเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนล่วงหน้า: สทนช. และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ส่งหนังสือด่วนที่สุดให้ผู้ว่าฯ 12 จังหวัดภาคใต้เพื่อเฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนขนของขึ้นสู่ที่สูง และเตรียมพร้อมอพยพตามแผนที่เคยวางไว้
  • การเตรียมความพร้อมของทรัพยากร: เร่งพร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำ ตรวจสอบคันกั้นน้ำ เตรียมบุคลากร เครื่องจักร เครื่องมือ และนวัตกรรมจากงานวิจัย เช่น เรือกู้ภัย
  • การเข้าถึงและช่วยเหลือเชิงพื้นที่: จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าเพื่อกำกับควบคุมพื้นที่และประสานจัดสรรทรัพยากร โดยใช้ระบบข้อมูลชี้เป้าที่พัฒนาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือเข้าถึง กลุ่มเปราะบาง ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง

     นี่คือการก้าวข้ามจาก “การรับมือ” ไปสู่ “การบริหารจัดการภัยพิบัติเชิงรุก” บนฐานความรู้และนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ให้ได้มากที่สุด

#บพท #วิจัยภัยพิบัติ #ศสวย #น้ำท่วมใต้2568

https://www.facebook.com/share/p/1ZZQYdeTb9/?mibextid=wwXIfr

 601 total views,  2 views today

You may have missed