อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอียฺ (อับดุลสุโก ดินอะ)

จากบทสัมภาษณ์คลิปนี้สะท้อนว่า
โค้ชสกล เกลี้ยงประเสริฐ แห่งโรงเรียนหมอนทองวิทยา จังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกสอนฟุตบอลที่สร้างชื่อให้กับเยาวชนเท่านั้น แต่ท่านคือ “ผู้สร้างคน” ที่ใช้สนามฟุตบอลเป็นห้องเรียนใหญ่ในการทำความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน วิถีชุมชนมุสลิม ในพื้นที่ของท่าน
ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตนเอง ณ ชุมชนบางน้ำเปรี้ยวและหมอนทองวิทยาแห่งนี้ ได้กลายเป็น รากฐานที่มั่นคง ในการเปลี่ยน “ความไม่รู้” ให้เป็น “ความเข้าใจ” ก่อนที่ท่านจะได้มีโอกาสนำบทเรียนเหล่านี้ไปสู่พื้นที่ละเอียดอ่อนอย่างชายแดนใต้ การเดินทางครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ว่า การลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่ที่ความหลากหลายอยู่ร่วมกัน คือ คอร์สเร่งรัดที่มีประสิทธิภาพที่สุด ก่อนปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ที่ต้องการความเข้าใจเชิงลึกอย่างยิ่ง
1. เหตุผลที่ต้องเรียนรู้: สัมผัสวิถีชีวิตจริง (Why)
การทำงานที่หมอนทองวิทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีนักเรียนและผู้คนในชุมชนนับถือศาสนาอิสลามจำนวนมาก ได้บังคับให้โค้ชสกลต้องเผชิญหน้าและทำงานกับความหลากหลายโดยตรง ท่านไม่ได้มองเรื่องศาสนาเป็นอุปสรรค แต่เป็น โอกาสในการสร้างความผูกพัน (Ukhuwah) ในทีมฟุตบอล
- บริบทของทีมฟุตบอล: ทีมของท่านคือภาพจำลองของสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีทั้งพุทธและมุสลิมร่วมกันอย่างกลมกลืน
- ความจำเป็นทางวิชาชีพ: การจะสร้างนักกีฬาที่ดีได้ ต้องเข้าใจและเคารพในชีวิตส่วนตัวและหลักปฏิบัติทางศาสนาของพวกเขา เพราะชีวิตนักกีฬาไม่ได้จบแค่ในสนาม แต่รวมถึงวินัยในชีวิตประจำวันด้วย
2. วิธีการเรียนรู้: ก้าวข้ามความต่างด้วยการปฏิบัติ (How)
โค้ชสกลใช้วิธีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือ การเปิดใจและปรับตัว ท่านไม่ได้เรียนรู้จากตำรา แต่เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
- การปรับตารางเพื่อศาสนกิจ: ท่านให้ความสำคัญและปรับตารางการฝึกซ้อมให้สอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลาม เช่น การละหมาด (นมาซ) และการถือศีลอด (รอมฎอน) การกระทำนี้แสดงถึง การเคารพอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการชนะใจลูกศิษย์และผู้ปกครอง
- การสื่อสารด้วยความรัก: ท่านใช้หลักการสื่อสารที่ปราศจากการแบ่งแยกเชื้อชาติหรือศาสนา สร้างความรู้สึกเป็น “ครอบครัวเดียวกัน” ทั้งในและนอกสนาม
- การซึมซับหลักธรรม: การสังเกตและซักถามอย่างสุภาพเกี่ยวกับวิถีชีวิตและหลักคำสอน ทำให้โค้ชสกลเข้าใจว่า หลักศาสนาอิสลามไม่ได้เป็นแค่พิธีกรรม แต่คือ รากฐานของการมีวินัยและความรับผิดชอบ
3. สิ่งที่ค้นพบ: ความจริงของหลักสันติสุข (What I Learned)
จากการสัมผัสกับชุมชนมุสลิมที่บางน้ำเปรี้ยวและหมอนทองวิทยาด้วยตนเอง โค้ชสกลได้ค้นพบความจริงที่แตกต่างจากความเข้าใจผิดที่อาจเคยมี
| ข้อค้นพบ | รายละเอียด |
|---|---|
| ยึดมั่นหลักศาสนา = สร้างคนดี | หลักคำสอนอิสลาม เช่น ความซื่อสัตย์ ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ไม่ได้ขัดแย้งกับการเป็นนักกีฬาที่ดี แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาเป็นคนที่มีคุณภาพ |
| ความรักสันติสุข (Salam) | ท่านสัมผัสได้ว่า ชุมชนมุสลิมให้ความสำคัญกับ สันติสุขและความสงบ อย่างแท้จริง การปฏิบัติตามศาสนาส่งเสริมให้พวกเขาเป็นผู้ที่อ่อนโยน มีเมตตา และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ |
| หลักพหุวัฒนธรรมทำงานจริง | ประสบการณ์ในชุมชนบางน้ำเปรี้ยว ยืนยันว่าการอยู่ร่วมกันได้ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อทุกฝ่ายเปิดใจและเคารพในความแตกต่าง แสดงให้เห็นถึงการผสานวัฒนธรรมที่ลงตัว |
บทสรุป: รากฐานความเข้าใจก่อนเดินทางสู่ชายแดนใต้

ประสบการณ์ของโค้ชสกลที่จังหวัดฉะเชิงเทราจึงเป็นมากกว่าเรื่องราวของฟุตบอล มันคือ “ต้นแบบของการเรียนรู้พหุวัฒนธรรม” ที่เน้นย้ำว่า ความเข้าใจ (Understanding) ที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติและสัมผัสชีวิตจริง คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทลายกำแพงแห่งความหวาดระแวง และเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ศรัทธาและความแตกต่าง สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้จริง
บทเรียนที่โค้ชสกลได้รับจากชุมชนมุสลิมบางน้ำเปรี้ยวนี้เอง ที่เป็นรากฐานสำคัญและเข้มแข็งที่สุด ก่อนที่ท่านจะนำประสบการณ์และมุมมองที่เปิดกว้างนี้ไปใช้ในการทำความเข้าใจกับพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างลึกซึ้งและปราศจากอคติ นั่นหมายความว่า “สนามฟุตบอลในฉะเชิงเทรา” คือ “หลักสูตรเตรียมความพร้อม” ที่นำไปสู่การสร้างสะพานแห่งความเข้าใจใน “ชายแดนใต้” อย่างแท้จริง
โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้”: บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา – ศูนย์เรียนรู้พหุวัฒนธรรมเพื่อเยาวชน
ข้อมูลที่ค้นพบตอกย้ำให้เห็นว่า ประสบการณ์ของโค้ชสกลที่บางน้ำเปรี้ยวและหมอนทองวิทยาเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน บริบทจริง ของการสร้างความเข้าใจพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามามีบทบาทของอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ในโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้”
โครงการนี้ถือเป็น ห้องเรียนภาคปฏิบัติระดับประเทศ ที่เชื่อมโยงเยาวชนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ากับวิถีชีวิตในภาคกลาง ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของพื้นที่อย่างบางน้ำเปรี้ยวในการเป็น “พื้นที่กลาง” แห่งการเรียนรู้
บทบาทของอำเภอบางน้ำเปรี้ยวในโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้”
อำเภอบางน้ำเปรี้ยวและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดฉะเชิงเทราได้ทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้ ที่สำคัญในโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ในหลายรุ่น (เช่น รุ่นที่ 39, 42, 44 และ 45) โดยมีบทบาทหลักดังนี้
- ครอบครัวอุปถัมภ์ (Host Families): ชุมชนในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว (เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลสิงโตทอง) ได้ต้อนรับเยาวชนจากชายแดนใต้มาพำนักอาศัย ทำให้เยาวชนได้ สัมผัสวิถีชีวิตที่หลากหลาย (พหุวัฒนธรรม) ของคนไทยในพื้นที่อื่นอย่างใกล้ชิด
- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้: การที่เยาวชนได้ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ ทำให้เกิดการ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยมโดยตรง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขจัดความไม่เข้าใจและอคติ
- การสนับสนุนจากภาครัฐ: หน่วยงานในพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา และหน่วยงานท้องถิ่น ได้ให้การสนับสนุนและตรวจเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์
การเชื่อมโยงกับ “บทเรียนโค้ชสกล”
ประสบการณ์ของโค้ชสกลที่หมอนทองวิทยา–บางน้ำเปรี้ยว จึงเป็น ภาพสะท้อนระดับบุคคล ที่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ระดับชาติ ของโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” อย่างลงตัว
- การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง: โค้ชสกลเรียนรู้จากนักกีฬาและชุมชนมุสลิมรอบตัว เช่นเดียวกับที่โครงการฯ มุ่งเน้นให้เยาวชนเรียนรู้ผ่านการอยู่ร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ การลงมือปฏิบัติ คือกุญแจสำคัญ
- การก้าวข้ามความต่างด้วยการเคารพ: การที่โค้ชสกลปรับตารางฝึกซ้อมเพื่อเคารพการละหมาด สะท้อนถึงหลักการพื้นฐานของโครงการฯ ที่ส่งเสริมการ เคารพในความคิดเห็นหรือความเชื่อที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกัน
- บางน้ำเปรี้ยวในฐานะพื้นที่พหุวัฒนธรรมต้นแบบ: การที่พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของชุมชนมุสลิมที่เข้มแข็ง และเป็นสถานที่จัดโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” อย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่า บทเรียนของโค้ชสกลเกิดขึ้นใน “ห้องเรียน” ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการฝึกฝนทักษะพหุวัฒนธรรมก่อนจะไปทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้
กล่าวได้ว่า โค้ชสกลได้ผ่าน “หลักสูตรพหุวัฒนธรรมภาคปฏิบัติ” ด้วยตนเองก่อนแล้ว ในพื้นที่ที่ประเทศใช้เป็นฐานในการสร้างความเข้าใจระหว่างภูมิภาคอย่างจริงจัง
15,205 total views, 6 views today

More Stories
จุฬาราชมนตรี: ผู้นำสองสถานะในวิกฤต “มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568” ผู้ประสานงานและเยียวยาจิตใจ
จิตอาสาภาคประชาชน: เอกภาพบนหลักการ แตกต่างในรายละเอียด “เติมเต็มช่องว่างที่รัฐตกหล่น”
เจาะลึกคุตบะห์ญุมอะห์จะนะ: “ป่าคอนกรีต” สู่มัสยิดศูนย์บัญชาการภัยพิบัติ