อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

คำพิพากษาศาลจังหวัดนราธิวาสที่ “ยกฟ้อง” นางอัญชนา หีมมิหน๊ะ นายกสมาคมด้วยใจเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในคดี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงเจตจำนงของกระบวนการยุติธรรมไทยในการปกป้องสิทธิพลเมือง และเป็นกรณีศึกษาที่สามารถเชื่อมโยงกับบทเรียนทางวิชาการและแนวปฏิบัติในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการต่อต้านคดีฟ้องปิดปาก (Strategic Lawsuits Against Public Participation – SLAPP) และการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
เจตนาสุจริตและการคุ้มครองการแสดงออก: บทเรียนจากนานาชาติ

ศาลไทยได้วินิจฉัยอย่างเด็ดขาดว่าการกระทำของนางอัญชนา “ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง” โดยเน้นย้ำถึง “เจตนาที่แท้จริง” ในการโพสต์ทวงถามค่าน้ำประปาที่หน่วยทหารค้างจ่าย ประเด็นเรื่อง “เจตนาสุจริต” และ “การทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็นหลักการพื้นฐานที่ได้รับการรับรองอย่างกว้างขวางในกฎหมายระหว่างประเทศและในระบบกฎหมายของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และ แคนาดา มีการบัญญัติกฎหมายต่อต้าน SLAPP (Anti-SLAPP Laws) เพื่อคุ้มครองประชาชนที่ใช้สิทธิในการแสดงออกเพื่อสาธารณะจากคดีฟ้องร้องที่มุ่งข่มขู่หรือปิดปาก กฎหมายเหล่านี้มักจะกำหนดให้โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าคดีของตนมีมูลความจริงอย่างเพียงพอตั้งแต่เริ่มต้น และจำเลยมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณายกฟ้องคดี SLAPP ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีหลักการสำคัญที่คล้ายคลึงกับคำวินิจฉัยของศาลไทยในกรณีของนางอัญชนา คือ การพิจารณาถึงเจตนาของผู้แสดงออกและผลกระทบต่อสาธารณะ
ขณะที่ใน สหภาพยุโรป ก็กำลังมีการผลักดันกฎหมายเพื่อต่อต้าน SLAPP ทั่วทั้งสหภาพ เพื่อสร้างมาตรฐานการคุ้มครองนักข่าว นักปกป้องสิทธิ และองค์กรภาคประชาสังคมจากการฟ้องร้องที่ไร้มูลเหตุจูงใจ
การที่ศาลไทยพิจารณาว่าการกระทำของนางอัญชนา “เป็นประโยชน์มากกว่า” และมีเจตนาแก้ไขปัญหา สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่สอดคล้องกับแนวคิดสากลที่ว่า การแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรถูกปิดกั้นด้วยกฎหมาย
กฎหมายปิดปาก (SLAPP): อุปสรรคต่อสันติภาพและการพัฒนา
เสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคมในชายแดนใต้ที่ย้ำว่าการใช้ “กฎฟ้องปิดปาก (SLAPP) ไม่ใช่ทางออกสู่สันติภาพ” เป็นบทเรียนที่สำคัญไม่เฉพาะสำหรับประเทศไทย แต่ยังรวมถึงประเทศที่มีความขัดแย้งอื่นๆ ทั่วโลก
ในบริบทของ กระบวนการสันติภาพ การเปิดพื้นที่ให้กับการแสดงออกที่หลากหลายและการรับฟังความคิดเห็นต่างเป็นหัวใจสำคัญ ศาสตราจารย์ด้านความขัดแย้งศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น George Mason University (สหรัฐอเมริกา) หรือ University of Ulster (ไอร์แลนด์เหนือ) ซึ่งเชี่ยวชาญในประเด็นความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ ต่างยืนยันตรงกันว่า การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือกลุ่มผู้มีอำนาจ จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียด บ่อนทำลายความไว้วางใจ และขัดขวางการหาทางออกที่ยั่งยืน
การใช้กฎหมายเพื่อข่มขู่ประชาชนและนักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างชายแดนใต้ ยิ่งเป็นการ “สร้างความขัดแย้งใหม่” ดังที่นางอัญชนาได้กล่าวไว้ และเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตย
บทบาทของภาคประชาสังคมและการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิ
การทำงานของนางอัญชนาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ญิฮาด” (การต่อสู้ในทางของพระเจ้า) ที่กล้าพูดความจริง สะท้อนบทบาทสำคัญของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการเป็นปากเสียงให้ผู้ที่ถูกละเลยและตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ องค์กรระหว่างประเทศอย่าง สหประชาชาติ (UN) ผ่านกลไก Special Rapporteur on the situation of human rights defenders ได้ออกแนวปฏิบัติและข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกคุ้มครองนักปกป้องสิทธิจากการถูกคุกคามและการฟ้องร้อง
ในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง เช่น เยอรมนี หรือ สวีเดน ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบรัฐบาลและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะอย่างเปิดเผย โดยได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มแข็งจากรัฐบาล การที่ศาลไทยรับทราบสถานะของนางอัญชนาในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และพิจารณาการกระทำของเธอภายใต้บริบทนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมบรรยากาศที่ปลอดภัยและเกื้อหนุนต่อการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน
ก้าวต่อไป: สร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนสันติภาพและเสรีภาพ
แถลงการณ์จากเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้/ปาตานี ที่เรียกร้องให้ยุติการใช้คดี SLAPPs และคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า
“สันติภาพไม่ได้เกิดจากความเงียบ แต่เกิดจากความกล้าที่จะปกป้องกันอย่างมีส่วนร่วม”
บทเรียนจากกรณีของนางอัญชนาและจากแนวปฏิบัติสากลชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในพื้นที่ความขัดแย้ง จำเป็นต้องสร้าง “พื้นที่สาธารณะที่เปิดกว้างและปลอดภัย” โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่รัฐบาลสามารถนำไปพิจารณาได้ เช่น:
- การบัญญัติกฎหมายต่อต้าน SLAPP: เพื่อเป็นกลไกทางกฎหมายที่ชัดเจนในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิ นักข่าว และประชาชนจากการฟ้องร้องที่ไม่เป็นธรรม
- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รัฐและบุคลากรกระบวนการยุติธรรม: เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในหลักการสิทธิมนุษยชนสากลและบทบาทของภาคประชาสังคม
- การส่งเสริมกลไกการร้องเรียนที่เป็นอิสระ: เพื่อให้ประชาชนสามารถร้องเรียนการละเมิดสิทธิโดยหน่วยงานรัฐได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
- การสร้างวัฒนธรรมความร่วมมือ: ระหว่างรัฐ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจและทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหา
คำพิพากษายกฟ้องนางอัญชนา หีมมิหน๊ะ จึงไม่เป็นเพียงชัยชนะทางกฎหมายส่วนบุคคล แต่เป็น ชัยชนะของหลักการสิทธิมนุษยชนสากล และเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่า การเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและยุติการใช้ “กฎหมายปิดปาก” คือรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพ ความยุติธรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกสังคม
8,546 total views, 6 views today

More Stories
ชื่นชมผู้นำ “บ้านโคะ” ผู้ยึดมั่นหลักการอิสลาม: การต่อสู้เพื่อการเลือกตั้งที่ใสสะอาดและคุณธรรม
จุดเปลี่ยนชายแดนใต้กับบทบาทภาคประชาสังคม: จากข้อเสนอ พ.ร.บ. สู่การหนุนเสริมของ ศอ.บต.พร้อมข้อเสนอแนะ
การบูรณาการบทเรียนอิสลามจากสถานการณ์น้ำท่วม สู่การพัฒนาสมรรถนะการจัดการภัยพิบัติในศตวรรษที่ 21