ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

ปัตตานี — การเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ คือ พล.ท.นรธิป โพยนอก กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ท่ามกลางทั้งข้อกังวลและความหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลใหม่ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวทางที่ให้อำนาจแก่หน่วยงานความมั่นคงอย่างเต็มที่ ตามที่ท่านได้ให้สัมภาษณ์ออกสื่อและพิจารณาจาก นโยบาย “4 บรรทัดดับไฟใต้”

I. จุดยืนใหม่ของแม่ทัพ: “ไม่รบ-เน้นรับฟัง”
พล.ท.นรธิป โพยนอก ได้สร้างความแตกต่างทันทีด้วยการประกาศจุดยืนว่า การต่อสู้ใน จชต. “ไม่ใช่การรบกับอริราชศัตรูเพื่ออธิปไตย” เหมือนชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เป็นการ “ป้องกันความสงบในพื้นที่จากกลุ่มผู้เห็นต่าง” โดยแม่ทัพคนใหม่เน้นย้ำถึงวิธีแก้ปัญหาที่ต้อง “รับฟังจากทุกฝ่าย” เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้โดยไม่หวาดกลัว ซึ่งเป็นแนวคิดที่มาจากการ “ตกผลึก” หลังได้ศึกษาและรับฟังข้อมูลจากอดีตแม่ทัพหลายท่านก่อนเข้ารับตำแหน่ง
II. ความท้าทายจากเสียงวิจารณ์: “แม่ทัพข้ามห้วย” และความมั่นใจของคนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม การเข้ารับตำแหน่งของ พล.ท.นรธิป ก็มาพร้อมความท้าทาย โดยเฉพาะการถูกมองว่าเป็น “แม่ทัพข้ามห้วย” ที่ย้ายมาจากกองทัพภาคที่ 2 (ภาคอีสาน) ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเรื่อง ความไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ ภูมิประเทศ และบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่ซับซ้อนของ จชต.
นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า หากภูมิหลังถูกตีความว่าเคยทำงานร่วมกับผู้มีแนวคิด “คลั่งชาติ” ในกรณีสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ก็อาจถูกมองว่าเสี่ยงต่อการ “เติมเชื้อไฟใต้” และบั่นทอนความเชื่อมั่นของคนในพื้นที่
โจทย์ใหญ่ของ พล.ท.นรธิป คือการสร้าง การยอมรับและความเชื่อมั่น จากคนในพื้นที่และภาคประชาสังคม และต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า การบริหารจะไม่จำกัดอยู่ในกรอบของ “ความมั่นคง” เท่านั้น แต่จะเข้าถึง “รากเหง้าของปัญหา” ที่มีมิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง
III. สัญญาณน่ากังวล: “ทหารนำการเมือง”
สถานการณ์ใหม่นี้ถูกมองว่ามีความน่ากังวลจากการ จับคู่ ระหว่างแม่ทัพที่มาจากนอกพื้นที่ กับนโยบายรัฐบาลอนุทิน ที่เน้นหนักด้านเศรษฐกิจ แต่กลับ ขาดหัวใจด้านสันติภาพ อย่างชัดเจน แนวโน้มนี้อาจนำไปสู่ การลดบทบาทของกลไกทางการเมือง และเพิ่มอำนาจให้กับการนำของทหาร ในการแก้ไขปัญหา จชต.
นักวิเคราะห์เตือนว่าแนวทางนี้คือการ “เติมเชื้อไฟใต้” โดยปริยาย และอาจทำให้ความพยายามในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนถดถอยลง
IV. ประเด็นที่ต้องติดตาม: การพิสูจน์ “ทฤษฎี vs. ปฏิบัติ”
ขณะนี้คนในพื้นที่กำลังเฝ้ารอดูว่า แนวคิดที่ “ตกผลึก” ของแม่ทัพคนใหม่ที่เน้น การรับฟัง และ ไม่ใช่การรบ จะถูกนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในพื้นที่ได้เพียงใด
ตัวชี้วัดสำคัญของความโปร่งใสในมิติความมั่นคง จะอยู่ที่การติดตามการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อลดข้อครหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นระบบ
สรุป: สถานการณ์ใหม่นี้คือการ เผชิญหน้า ระหว่างแนวคิดที่ต้องการความแตกต่าง (จากแม่ทัพ) กับแรงกดดันจากนโยบายรัฐบาลที่ยังคลุมเครือ (เน้นความมั่นคง/เศรษฐกิจ) ซึ่งเป็น ความท้าทายใหญ่ในการสร้างสันติสุขที่ยั่งยืน ในพื้นที่
อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
19,890 total views, 6 views today

More Stories
จาก “วิจัยบนหิ้ง” สู่ “วิจัยติดดินกินได้”: อว. และ บพท. ผนึกกำลังเครือข่ายมหาวิทยาลัยภาคใต้ เร่ง “แก้จน-ลดหนี้-เพิ่มรายได้” ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
สดุดี ‘บาบอโส๊ะ’ ผู้วางรากฐานการศึกษาศาสนาในชายแดนใต้
รายงานพิเศษ: ทุกภาคส่วนรวมพลัง! นำบทเรียนอดีต สู่แผนรับมือ ‘น้ำท่วมใต้’ ปลายปี 2568 ด้วยฐานงานวิจัย