โดย..ผศ.ดร.ฆอซาลี เบ็ญหมัด
ในยุคบรรพกาลเมื่อราวๆ พันสี่ร้อยปีก่อน เกิดคดีลักทรัพย์ขึ้นในรัฐอิสลามแห่งมะดีนะฮ์ ในยุคการปกครองของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) ปรากฏผู้ขโมยเป็นชนชั้นสูงในเผ่าหนึ่ง ทำให้ผู้คนคิดหาทางช่วยเหลือให้พ้นโทษ
ดังที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (รอดิยัลลอฮุอันฮา) ภริยาของท่านนบีมุฮัมมัด ได้เล่าว่า
《《
แท้จริงชาวกุเรชกังวลเรื่องหญิงคนหนึ่งจากเผ่ามัคซูม ซึ่งได้ลักขโมย พวกเขากล่าวว่า “ใครจะลองไปเจรจาเรื่องของนางกับท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) บ้าง” พวกเขาจึงกล่าวว่า “ผู้ใดเล่าที่จะกล้าไปคุยกับท่านศาสนทูต ยกเว้นอุซามะฮ์ บินซัยด์ ผู้ที่ท่านศาสนทูตโปรดปราน” อุซามะฮ์จึงไปเจรจากับท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม)
ท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) จึงกล่าวกับเขาว่า
“เจ้าจะมาช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นบทลงโทษของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ?”
จากนั้นท่านก็ได้ยืนขึ้นและกล่าวว่า
أيها الناس إنما أهلك الذين قبلكم، أنهم كانوا إذا سرق فيهم الشريف تركوه، وإذا سرق فيهم الضعيف أقاموا عليه الحد
وأيم الله لو أن فاطمة بنت محمد سرقت لقطعت يدها
“โอ้คนทั้งหลาย อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้กลุ่มชนก่อนหน้าพวกท่านทั้งหลายต้องพินาศ เนื่องจาก เมื่อชนชั้นสูงในหมู่พวกเขาลักขโมย พวกเขาก็ปล่อยไป และเมื่อคนที่อ่อนแอในหมู่พวกเขาลักขโมย พวกเขาก็ลงโทษตามกฎหมาย
ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากฟาติมะฮ์ บุตรสาวของมุฮัมมัด ลักขโมย ฉันก็จะตัดมือของนาง”
》》
หะดีษรายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม
10,691 total views, 2 views today
More Stories
มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา จับมือ IIUM มาเลเซีย ลงนามบันทึกความเข้าใจ MOU ด้านวิชาการ วิจัยแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา
ม.อ. เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT (UNINET) ครั้งที่ 4
“ชาดา” ลงพื้นที่นราฯ ชมวิสาหกิจชุมชนแฮนอินแฮนด์รือเสาะ สร้างงานสร้างคุณภาพชีวิต 200 ครอบครัว