อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมุฮัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
( 12 มีนาคม 2564 )ครบรอบ 17 ปีการหายไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 – เห็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547)ท่านถือว่าเป็น
#ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน /เพื่อประชาชาติอย่างแท้จริง
#ทนายสมชายผู้ผดุงทั้งหลักการอิสลามและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
#สำหรับเจตนารมณ์ของกฏหมายอิสลามนั้นปราชญ์โลกมุสลิมจะรู้จักในคำว่า مقاصد الشريعة (Maqasid al-Shariah)ก็เพื่อผดุงไว้ห้าประการหลักคือ 1.
ศาสนา 2. ชีวิต 3. สติปัญญา 4. ทรัพย์สิน 5. เชื้อสาย (ตระกูล)
ในขณะที่เจตนารมณ์ของกฎหมายทั่วไปก็ไม่ต่างกันในภาพรวม “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ผ่านกระบวนการยุติธรรม “เพื่อผดุงความยุติธรรมโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และชาติพันธุ์ “
ในขณะที่ปัญหาชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ การอุ้มหายต่อทนายสมชาย จนถึงคนทำงานกระบวนการยุติธรรม อย่าง นายคณากร เพียรชนะ” ผู้พิพากษาศาลจังหวัดยะลายิงตัวเองภายหลังเสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษาคดี สะท้อนว่า สันติภาพสันติสุขชายแดนภาคใต้ยังเกิดยาก “เพราะต้องยอมรับว่า ความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมยังไม่สามารถสัมผัสได้เชิงประจักษ์ “ จนมีคำฮิตติดปากว่า No justice,No peace “ เมื่อไม่มีความยุติธรรมสันติภาพก็ไม่เกิด”
ดังนั้น #จิตวิญญาณทนายสมชายก็ยังถูกสานต่อที่ชายแดนภาคใต้ในเชิงประจักษ์เช่นการทำงานของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมที่นำโดยทนายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเต๊ะ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมนำโดยนางสาวพรเพ็ญ คงคจรเกียรติ กลุ่มด้วยใจ นำโดยนางสาวอัญชนา หรือมุมตัซ หีมมีนะ ศูนย์นิติธรรมสมานฉันท์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดยนายธีพงศ์ ดนสวี(ทนายซิ จะนะ , ประธานสภาทนายความจังหวัดนาทวี)และอื่นๆ
นายธีพงศ์ ดนสวี, ประธานสภาทนายความจังหวัดนาทวีให้ทัศนะว่า
“ความจริงใจ ความเป็นธรรม แก้ปัญหาชายแดนใต้ได้”
ทุกๆปีทั้งชายแดนภาคใต้และส่วนกลางก็จะมีการเสวนาวิชาการรำลึกถึงท่าน
สำหรับปีนี้มีเสวนา เรื่องนี้ เช่น17 ปีกับการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร กับการปรับตัวของกระบวนการยุติธรรมของรัฐ
ณ ห้องประชุมใหญ่อาคารคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี(หลังเก่า)โดยจัด
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 น.- 17.00 น.ซึ่งมีกำหนดการดังนี้
เวลา 14.00 น.- 14.30 น. ลงทะเบียน
เวลา 14.30 น.- 14.45 น. เปิดงาน
โดย ทนายอูเซ็ง ดอเลาะ ประธานโครงฯ
เวลา 14.45 น.- 15.00 น. อ่านบทกวี
โดย ซาการีย์ยา อมตยา
กวีซีไรต์
เวลา 15.00 น. – 15.15 น. ปาฐกถา ในหัวข้อ”ทนายสมชาย ที่ผมรู้จัก”
โดย ทนายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์
ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
เวลา 15.15 น.- 15.30 น. นำเสนอ บทบาทและข้อค้นพบการทำงานของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
โดย ทนายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเตะ
ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้
เวลา 15.30 น.- 15.45 น. อ่านบทกวี(PUISI) โดย SENI LALANG
เวลา 15.45 น.- 17.00 น. เสวนา: หัวข้อ “17 ปีกับการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร กับการปรับตัวของกระบวนการยุติธรรมของรัฐ”
ผู้ร่วมเสวนา
พลตรีธิรา แดหวา
ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี กอ.รมน.ภาค ๔
นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นราธิวาส เขต ๔
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ (อยู่ระหว่างประสาน)
ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ดำเนินรายการโดย รอมฎอน ปัญจอร์
ภัณฑรักษ์แห่งศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
เวลา ๑๗.๐๐ น.- ๑๗.๑๐ น. กล่าวปิด
โดย ทนายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดยะลา เขต1(ชมย้อนหลังใน https://www.facebook.com/macmuslimfoundation/videos/1154437405006217/)
ในขณะที่ กรุงเทพมหานครวันนี้ เช่นกัน(12 มีนาคม) เวลา 10.30 น. นางอังคณา นีละไพจิตร ครอบครัวทนายสมชาย นีละไพจิตร และญาติผู้สูญหายในประเทศไทย รวมทั้งนักกิจกรรมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย จำนวน 20 คน ได้รวมตัวกันบริเวณด้านหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร เพื่อทวงถามความคืบหน้าคดีและร่วมรำลึก 17 ปี การหายตัวไปของทนายสมชาย โดยสวมหน้ากากทนายสมชายเพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้เวลาผ่านไปนานถึง 17 ปีเราก็ยังไม่ลืม และได้ปล่อยรถตุ๊กตุ๊กจำนวน 17 คันที่ติดป้ายตามหาทนายสมชายเพื่อให้วิ่งรณรงค์ไปทั่วกรุงเทพมหานครและพื้นใกล้เคียง
#ข้อเสนอแนะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
บทเรียนการต่อสู้ของทนายสมชายต่อความอยุติธรรมที่ชายแดนใต้ยังคงดำเนินอยู่เพียงแต่ว่าต่างกันที่ผู้เล่นตัวละครเวลาและสถานที่
ความอยุติธรรมนี้จะเป็นน้ำมันเครื่องล่อเลี้ยงอย่างดีในการสุ้มไฟใต้ให้เกิดกองใหม่ตลอด เมื่อดับไฟกองหนึ่ง ก็จะเกิดไฟอีกกอง ความอยุติธรรมดังกล่าวนั้นเกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้มาตรฐานสากล หากจะดูข้อเสนอแนะต่อเรื่องนี้ที่ครบวงจรที่สุดคือข้อเสนอของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีดังนี้
1. เคารพยึดถือปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรม เพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านความยุติธรรมได้ ทั้งในทางแพ่ง อาญา และปกครอง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษหรือกฎหมายอื่นใด เช่น สิทธิของผู้ถูกควบคุมตัวในการที่จะได้รับการเยี่ยมเยียนจากญาติพี่น้อง ปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว ไม่ถูกทรมาน บังคับขู่เข็ญ สิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกตรวจดีเอ็นเอ โดยไม่เต็มใจ หรือกระทำการด้วยประการใดใด ในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทั้งให้ศาลสามารถตรวจสอบการกระทำของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิผลตามหลักนิติธรรม
2. หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษในขณะที่ยังไม่มีการยกเลิก ทั้งในเรื่องการตั้งด่าน ปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับความไม่สงบ และยกเลิก การใช้ “กรรมวิธี” ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษเสี่ยงต่อการถูกทรมาน โดยประชาชนที่เป็นชาวมุสลิมมักตกเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติงานดังกล่าวของเจ้าหน้าที่
3. ยุติการดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม เอาเปรียบผู้ต้องหา ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม หรือ Fair Trial ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และมาตรฐานระหว่างประเทศเช่น ใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ จับและคุมขังผู้ต้องสงสัยไว้ก่อน แล้วหาพยานหลักฐานทีหลัง ใช้คำซัดทอดของผู้ถูกคุมขังตามกฎหมายพิเศษ ใช้เป็นพยานหลักฐานในการตัดสินลงโทษจำเลย สืบพยานล่วงหน้าโดยไม่มีเหตุอันสมควรเพื่อปรักปรำผู้ต้องหาและตัดโอกาสผู้ต้องหาในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ นำพยานหลักฐาน ทั้งพยานวัตถุและบันทึกถ้อยคำของบุคคล ที่เจ้าหน้าที่ได้มาจากการปิดล้อม ตรวจค้น ยึด จับกุม คุมขัง หรือซักถาม ตาม “กรรมวิธี” คลิป ทั้งที่ตัดตอนและบันทึกหรือจัดทำขึ้นโดยไม่โปร่งใส ภายใต้การใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ มาใช้ในการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) อันเป็นกระบวนการได้มา ส่งต่อ เก็บรักษา ตรวจสอบ และเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ที่ไม่สอดคล้องกับหลักของการดำเนินคดีที่เป็นธรรม
4. ยกเลิกการออกหมายจับและหมายขังซ้ำซ้อน ทั้งการออกหมายจับและหมายขังตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ (หมาย ฉฉ.) ที่ศาลได้ออกให้แก่เจ้าหน้าที่ แม้บุคคลตามหมายต้องหมายจับตามป.วิอาญาอยู่แล้ว ซึ่งนำไปสู่การเอาตัวผู้ต้องหาที่ต้องหมายจับตามป.วิอาญา ไปคุมขังไว้ตามหมาย ฉฉ. ทำให้ผู้ต้องหาในคดีอาญาถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่นสิทธิในการพบและปรึกษาทนายความ สิทธิในการที่จะให้การหรือไม่ให้การอย่างใดก็ได้เป็นต้น หรือการออกหมายจับตาม ป.วิอาญาที่ศาลออกให้แก่เจ้าหน้าที่อีกคดีหนึ่ง แม้บุคคลตามหมายจับต้องหมายจับ ตาม ป.วิอาญาในคดีอื่นอยู่แล้ว ทำให้พนักงานสอบสวนสามารถอายัดตัวผู้ต้องหาหลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีหนึ่งแล้ว โดยอ้างว่ายังมีหมายจับอีกคดีหนึ่งเป็นการรอายัดตัวซ้ำซาก ทำให้ผู้ต้องหาถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดีต่างๆต่อๆไปไม่มีสิ้นสุด
5. ให้ศาลปกครองมีอำนาจที่จะพิจารณาคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายพิเศษ และคดีละเมิดทางปกครอง ก่อนที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะวินิจฉัยให้ศาลปกครองไม่มีอำนาจพิจารณาคดีละเมิดที่เจ้าหน้าที่กระทำต่อพลเมืองใน จชต. ผู้เสียหายมีความรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมและการเยียวยาจากศาลปกครองมากกว่า เนื่องจากแนวคิดและการไต่สวนในระบบการพิจารณาคดีของศาลปกครองสามารถตรวจสอบการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ดีกว่า ดังนั้นศาลปกครองควรจะมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีละเมิดทางปกครองเช่นเดิม และคดีที่เกี่ยวกับการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายพิเศษด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นแต่หากเป็นไปได้ ต้องนำหลักการความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice – TJ) มาใช้โดยให้นำมาใช้ทั้งกับการก่ออาชญากรรมร้ายแรง ทั้งจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบและเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อลดความขัดแย้ง เกลียดชังโดยประสานกับหลักการความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restroative Justice -RJ) โดยจะต้องยึดหลักการตรวจสอบค้นหาความจริง จากคณะกรรมการอิสระที่เป็นอิสระ เช่นนักวิชาการ ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และภาคประชาสังคมที่ได้รับความเคารพเชื่อถือ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเหยื่อของความรุนแรงและสังคมรับทราบความจริง เข้าใจปัญหาและรากเหง้าของความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในแง่มุมต่างๆ อย่างเป็นภาวะวิสัยพร้อมทั้ง การชดเชย ฟื้นฟู แก้ไข เยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ทั้งชาวมุสลิมและชาวพุทธ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเช่นเดิม รวมทั้งการเยียวยาทางด้านจิตใจ ซึ่งที่ผ่านมาบุคคลดังกล่าวยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐเท่าที่ควร ความคับแค้นใจที่ยังคงดำรงอยู่ไม่เป็นดีอย่างยิ่งต่อกระบวนการสันติภาพและการสร้างความปรองดองใน จชต. อีกทั้งการนำผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลงโทษผู้กระทำผิด โดยเฉพาะผู้มีอำนาจไม่ว่าจะฝ่ายใด ที่สั่งการ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจในการก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยอาจนำหลักการของความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice-RJ) มาใช้สำหรับการกระทำผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสองฝ่ายด้วย
สิ่งสำคัญไม่ควรมองข้ามคือการปฏิรูปเชิงสถาบัน ทั้งในทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ จชต. โดยกระบวนการของการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่สันติสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยท้ายสุดคือการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเยียวยาโดยพัฒนากลไกในการรับเรื่องร้องเรียน โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมที่สามารถเข้าถึงชุมชนและผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและได้รับผลกระทบมากกว่ากลไกของรัฐ โดยรัฐจะต้องประกันความปลอดภัยและความเป็นธรรม เพื่อให้ผู้ร้องเรียนมีความมั่นใจและกล้าร้องเรียน การร้องเรียนเป็นการเปิดเผยความจริงของความขัดแย้งและปัญหาต่อรัฐต่อสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาและกระบวนการสันติภาพและพัฒนากลไกการร้องเรียนและตรวจสอบกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนและการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อป้องปราม ค้นหาความจริงและให้มีการแก้ไขเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างได้ผล ทั้งการตรวจสอบโดยกลไกในท้องถิ่น กลไกประเทศและกลไกระหว่างประเทศ ที่เป็นอิสระ โดยกลไกเหล่านี้ต้องสามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงต่างๆ และข้อเสนอแนะได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานของรัฐและรัฐบาล
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเยียวยาเหยื่อและผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งมิใช่เพียงการชดใช้เป็นตัวเงินเท่านั้น แต่รวมถึงการฟื้นฟูเยียวยาด้านจิตใจ การทำให้กลับสู่สถานะเดิมเท่าที่จะทำได้ การช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเหยื่อและครอบครัว ฯลฯ การเยียวยาเป็นการบรรเทาความขัดแย้งที่ได้ผลระดับหนึ่ง ในขณะที่กระบวนการสันติภาพยังไม่ได้รับความสำเร็จ
หมายเหตุข่าวลิ้งค์ส่วนหนึ่งการทำงานของพวกเขา
https://m.facebook.com/macmuslimfoundation/
https://www.facebook.com/Duayjai-Group-%E0%B8%
978 total views, 2 views today
More Stories
SEC ภาคใต้กับSEA สงขลา-ปัตตานี
สู่พรบ.สันติภาพ เพื่อประกันกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
ฮัจญ์ไทยในภารกิจทูตสันติภาพใน 3 ภารกิจ จชต.