พฤษภาคม 14, 2024

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

ขบวนการบิดเบือนความจริง…ปลุกปั่นสร้างแตกแยก คนในชาติ

แชร์เลย

โดย..สมเดช มัสแหละ…

ผมได้รับคลิปของกลุ่มที่พยายามบิดเบือนข้อมูลของอิสลาม โดยการนำโองการจากพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่านบางอายะฮ์ ที่เกี่ยวกับการทำสงคราม และการละหมาด โดยใช้การคิดวิเคราะห์ ตามความรู้สึกของตนเองที่อคติ ขาดความรู้ ความเข้าใจ

มีหลายท่านที่ส่งคลิปมาให้ผม รวมทั้งอาจารย์ชารีฟ ศรีเจริญ รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรีด้วย ผมฟังคลิปนั้นแล้วจึงเสนอไปว่า ให้ทางสำนักจุฬาราชมนตรี ควรนำคลิปนั้น ขอรับคำแนะนำจากสมเด็จพระสังฆราช และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ดำเนินการกับกลุ่มบุคคลเหล่านั้น เพราะนับวันยิ่ง ใส่ร้าย ยุยง ปุกปั่น ให้เกิดความเกลียดชังกัน

ที่ผมรับไม่ได้ต่อคลิปนี้คือการล่วงละเมิดต่อสิ่งที่เคารพสูงสุดของมุสลิม และบังอาจจะวิพากษ์การปฏิบัติศาสนกิจละหมาดของมุสลิม โดยโยงไปสู่การต่อต้านมัสยิด เป็นการนำข้อมูลเท็จ ที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง

ข้อเขียนนี้ผมขอความกรุณามุสลิม หากจะวิพากษ์ วิจารณ์ ขอให้ใช้คำที่สุภาพ ไม่หยาบคาย และให้เกียรติต่อชาวพุทธส่วนมากที่ไม่ได้รู้เห็นกับคนกลุ่มนี้ด้วย

พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน มุสลิมถือว่าคือพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า มุสลิมจะแปลแต่ละตัวอักษรก็ต้องระมัดระวัง ละเอียด ถี่ถ้วน นี่แค่การแปล …ส่วนการอธิบาย หรือตัฟซีร จะต้องมีองค์ความรู้ที่รอบด้าน ต้องรู้สาเหตุของการลงโองการ ต้องมีความรู้ ในวิชาหลักภาษา เข้าใจประโยค ต้องรู้ว่า โองการที่ประทานลงมา มีโองการก่อนหลัง สอดรับอย่างไรบ้าง

แค่นี้ยังไม่พอ จะต้องรู้ว่า ท่านศาสนทูต ได้อธิบายโองการนี้อย่างไรบ้าง มีพระวจนะอื่นๆของท่าน กล่าวไว้อย่างไรบ้าง…

โองการที่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม เป็นโองการ ที่ลงมาในช่วงสงครามในขณะนั้น เพื่อที่จะให้คำแนะนำว่าท่านศาสนทูตควรปฏิบัติอย่างไรต่อสงครามที่เกิดขึ้น

ศาสนาอิสลาม จะต้องใช้พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และอัล-ฮาดีส(พระวจนะของศาสดา) มาเป็นแนวทางหลัก …

ท่านต้องเข้าใจเลยว่า ทั้งพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และฮัล-ฮาดีส เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้น เป็นการแนะนำ สำหรับมุสลิมในยุคอดีต ว่าเมื่อเกิดสงคราม มุสลิมควรทำอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน หากเกิดสงคราม มุสลิมก็แค่นำแนวทางจาก พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน มาเทียบเคียงใช้เท่านั้น และในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ก็ไม่ได้ใช้ให้มุสลิมไปทำสงครามกับใคร

ส่วนคำว่า “ให้ต่อสู้กับผู้ที่ไม่ศรัทธา” ในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน คือการกล่าวถึงคนในยุคนั้น ที่กำลังต่อสู้กับท่านนบีฯ ก็คนที่ต่อสู้กับท่านนบีฯในยุคนั้นคือผู้ที่ไม่เชื่อในคำสอนของท่าน และคนกลุ่มนั้นก็เป็นชาวอาหรับญะฮีลียะฮ์ ไม่ใช่ชาวพุทธสักหน่อย ส่วนมากก็ไม่ใช่ชาวยิว หรือชาวคริสต์ด้วยซ้ำไป เป็นเป็นชนที่ตั้ง “ภาคี” เชื่อในสิ่งอื่นๆ

 

การทำสงคราม หากเราไปดูในพุทธประวัติ สงครามก็เกิดมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในยุคสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นการทำสงคราม ที่ชี้เป็นชี้ตายของการอยู่รอดของพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป

พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่านทั้งเล่ม อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า อิสลามถือว่าการอ่านสิ่งที่เป็น “พระราชดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า” ได้ผลบุญ มุสลิมจึงต้องอ่าน และเคยบอกไปแล้วว่า ในการนมัสการละหมาด สามารถนำโองการใดๆก็ได้ใน พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่านมาอ่าน การนำโองการใดๆมาอ่านในละหมาด รวมทั้งโองการที่กล่าวเรื่องสงคราม มันมิได้หมายความว่ามุสลิมจะต้องไปทำสงครามอะไรทั้งนั้น

ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “ญิฮาดเล็กได้จบลงแล้ว ที่ยังมีอยู่คือญิฮาดใหญ่ นั้นคือการญิฮาดกับ “นัฟซู” อารมณ์ของตนเอง” การทำสงครามแบบที่รบราฆ่าฟันกันนั้น ท่านบอกว่ามันจบลงแล้ว แต่สงครามที่ใหญ่กว่าคือ การต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง…

ท่านศาสดาคือผู้ที่รับพระบัญชามาเผยแพร่ ฉะนั้นคำกล่าวนี้ ก็กล่าวในยุคที่ท่านมีชีวิตอยู่ หรืออยู่ในยุคที่ท่านได้รับพระบัญชานั้นเอง ซึ่งมีระยะเวลากว่า 1500 ปีมาแล้ว

การต่อสู้(ญิฮาด) หรือการทำสงคราม มันจบลงแล้ว แต่สิ่งที่จะต้องต่อสู้ต่อไปคือการต่อสู้กับอารมณ์ “นัฟซู”ของตัวเอง ในทางพุทธก็น่าจะประมาณ”อริยสัจ4″ และ หลัก”ไตรสิกขา” (ปัญญา / ศีล / สมาธิ)นั้นเอง

ส่วนการที่กลุ่มนี้ นำความหมายของพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน บางโองการ ที่มุสลิมใช้อ่านในการนมัสการละหมาด โดยเจาะจงเฉพาะโองการ ทีเกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงสงคราม แล้วสรุปว่า เมื่อ พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ใช้ให้ทำสงครามเอง แล้วมุสลิมก็นำมาอ่านในการนมัสการละหมาด และละหมาดก็ทำในมัสยิด แสดงว่าอิสลามส่งเสริมให้ทำสงคราม จึงต้องต่อต้านการสร้างมัสยิด เป็นการอคติที่ขาดปัญญาเป็นอย่างมาก

จึงอยากจะบอกกลุ่มที่กำลังยุแยง และสร้างความแตกแยกกลุ่มนี้ว่า พวกท่านบังอาจมาก ที่นำคำแปลโองการ แล้วก็อธิบายโดยความเข้าใจเอง เป็นสิ่งที่บังอาจมาก เพราะมุสลิมเอง ยังไม่กล้าที่จะแปล และอธิบายโองการพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่านโดยพละการ

หากท่านจะบอกว่า คำแปลนี้ มาจากการแปลของมุสลิมเอง แต่การอธิบายที่ท่านกำลังทำคือการอธิบายตามความเข้าใจของท่านเองโดยขาดความรู้ ความเข้าใจ เป็นการบิดเบือนหลักการของศาสนาอื่น

ถือว่าเป็นการก้าวล่วง ล่วงละเมิด ความเชื่ออื่น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เอาความเข้าใจของตนเอง ไปกล่าวหาใส่ร้าย ให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน

มุสลิมเองก็เช่นกัน เราต้องหลีกเลี่ยง การไปล่วงละเมิดต่อความเชื่ออื่นที่เราไม่เชื่อ อย่าไปวิพากษ์ วิจารณ์ ในสิ่งที่ต่างกับเรา

ความเชื่อจะบังคับกันไม่ได้ ความเชื่อ หากจะเชื่อก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล มันเป็นเรื่องทางปัญญาของแต่ละบุคคล ซึ่งเราต้องให้เกียรติกัน สังคมถึงจะปกติสุข

จะเล่นการเมืองก็ว่ากันไป แต่อย่าเอาศาสนามาเล่น….

หมายเหตุดูหลักฐานคลิปนี้ได้
https://www.facebook.com/100022810184878/videos/629168807853453/?d=n

 764 total views,  2 views today

You may have missed