อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2025 ไม่เพียงแต่เป็นบททดสอบอธิปไตยของสองประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นโจทย์หินของ นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ในฐานะตัวกลางที่พยายามเข้ามามีบทบาทไกล่เกลี่ย ทว่ากลับต้องเผชิญกับกำแพงแห่งความจริงที่ซับซ้อนและท่าทีที่แข็งกร้าวจากฝั่งไทย
ความคลาดเคลื่อนของ “ข้อเสนอ” กับ “ความจริง” ในสนามรบ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีกระแสข่าวเรื่องข้อเสนอ “หยุดยิง” ที่อันวาร์เป็นผู้ประสานงาน แต่ภาพความขัดแย้งกลับชัดเจนขึ้นเมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทย ออกมาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าไทยยังไม่มีข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ทั้งสิ้น
ตอกย้ำด้วยข้อความโดยตรงจากอันวาร์ถึงอนุทินที่ระบุว่า “ผมไม่ได้กล่าวถึงการหยุดยิง ผมเพียงเสนอให้ยุติการยั่วยุ…” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามทางการทูตของมาเลเซียในขณะนี้ ยังไม่สามารถแตะเบรกความรุนแรงได้จริง ตราบใดที่เสียงปืนใหญ่และจรวด BM-21 ยังคงดังกึกก้องตามแนวชายแดน 817 กิโลเมตร

ความท้าทาย 3 ด้านที่อันวาร์ต้องเผชิญ
1. กำแพงความเชื่อมั่นจากฝั่งไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ส่งสัญญาณชัดเจนไปยังประชาคมโลกและตัวกลางอย่างมาเลเซียว่า “การหยุดยิงต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ” ฝั่งไทยมองว่ากัมพูชาขาดความจริงใจ เพราะในขณะที่ปากพูดเรื่องสันติภาพ แต่กลับมีการระดมยิงอาวุธหนักเข้าใส่พลเรือนไทยจนมีผู้เสียชีวิต ความท้าทายของอันวาร์คือการทำให้ไทยเชื่อว่า “ข้อเสนอ” ของเขามีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของฝั่งกัมพูชาได้
2. เกมการเมืองระหว่างประเทศและ “เงา” ของมหาอำนาจ
แม้ผู้นำทั้งไทยและกัมพูชาจะได้หารือกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ไปแล้ว แต่สถานการณ์กลับไม่คลี่คลาย อันวาร์ในฐานะผู้นำอาเซียนจึงต้องแบกรับความคาดหวังในการแก้ปัญหา “ในบ้าน” ท่ามกลางความพยายามของไทยที่ต้องการให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เข้าใจบริบทความรู้สึกของคนไทยจริงๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ แต่เป็นความจงใจจากประเด็นทุ่นระเบิดและการรุกล้ำพื้นที่
3. สมรภูมิข้อมูลข่าวสารและการละเมิดกฎหมายสากล
ความท้าทายไม่ได้อยู่แค่ที่ชายแดน แต่อยู่ที่ปมการทูตระดับรัฐ เมื่อกัมพูชาสั่งระงับการเดินทางทางบก ซึ่งไทยมองว่าเป็นการ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” ต่อเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายบุคคล อันวาร์ต้องบริหารจัดการความตึงเครียดนี้เพื่อไม่ให้บานปลายกลายเป็นการปิดล้อมพรมแดนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจภูมิภาคโดยรวม
บทสรุป: ความจริงใจคือทางออกเดียว
บทบาทของ อันวาร์ อิบราฮิม ในครั้งนี้จึงตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก หากข้อเสนอหยุดยั้งการยั่วยุไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นการ “หยุดยิง” ที่เกิดขึ้นจริงได้ บทบาทตัวกลางของมาเลเซียอาจถูกมองว่าเป็นเพียงพิธีกรรมทางการทูตที่ไร้ผล
“หากจะหยุดยิงต้องจริงใจต่อกัน พิสูจน์กันด้วยการกระทำ” –
คำกล่าวของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว คือโจทย์ที่อันวาร์ต้องนำไปแก้ เพื่อให้กัมพูชาหยุดการใช้กำลังอาวุธหนัก และหันมาสู่โต๊ะเจรจาอย่างแท้จริง ประเทศไทยได้ประกาศจุดยืนอย่างแข็งกร้าวแล้วว่า “จะพิทักษ์บูรณภาพของแผ่นดินและประชาชนอย่างสุดกำลัง” ต่อจากนี้จึงขึ้นอยู่กับว่า “การทูตแบบอันวาร์” จะมีพลังพอที่จะเปลี่ยนสนามรบให้กลับมาเป็นโต๊ะเจรจาได้หรือไม่ ก่อนที่ความสูญเสียจะขยายตัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่
438 total views, 438 views today

More Stories
เส้นแบ่งที่พรรคประชาชนต้องเลือก: เมื่อ “เสรีภาพ” ปะทะ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” กรณีโชติศักดิ์ อ่อนสูง กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ภายในพรรคประชาชน (ปชน.)
เสียงสะท้อนจากผู้อาวุโส: เมื่อ “สนามวิชาการ” กลายเป็น “สนามอารมณ์” ในยุคไร้พรมแดน
โจทย์ท้าทายด้าน “การศึกษาและภูมิคุ้มกันทางความคิด”: ภารกิจ ศอ.บต. สู่สันติภาพยั่งยืนปี 2569