อุสตาซอับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
: ขั้นต่อไปของคดี ม.116 และผลต่อการเมืองชายแดนใต้เมื่อปี่กลองเลือกตั้งเริ่มขึ้นในไม่ช้า
ขั้นตอนทางกฎหมายหลังอัยการสั่งฟ้อง
หลังจากการสั่งฟ้องคดี ม.116, ซ่องโจร, และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อ 5 นักกิจกรรมปัตตานีเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2568 ขั้นตอนทางกฎหมายที่สำคัญต่อไปคือการเตรียมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาล ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้:
- นัดพร้อมและสอบคำให้การ (12 ม.ค. 2569): ศาลจะดำเนินการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของจำเลย สอบคำให้การ (ว่าจำเลยจะรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา) และมีการ ตรวจพยานหลักฐาน ของทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย
- การพิจารณาคดีในศาล: หากจำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหา จะเข้าสู่ขั้นตอน สืบพยาน ซึ่งฝ่ายอัยการ (โจทก์) จะนำเสนอหลักฐานก่อน จากนั้นฝ่ายจำเลยจะนำพยานหลักฐานมาหักล้าง โดยกระบวนการนี้อาจใช้เวลาค่อนข้างนาน
- ประเด็นการตีความ ม.116: หัวใจของคดีอยู่ที่การตีความว่า การจัดเสวนาและกิจกรรมประชามติจำลองเรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง” เข้าข่ายการกระทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐธรรมนูญหรือรัฐบาล โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ตาม ม.116 หรือไม่ โดยเฉพาะการที่อัยการระบุว่าขัดต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 เรื่องความเป็นรัฐเดียว (Indivisible Kingdom)
- ผลกระทบจาก พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข: การที่จำเลยยื่นขอให้ศาลชะลอการฟ้องเพราะ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา อาจเป็นประเด็นที่ศาลต้องนำมาพิจารณา หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้และครอบคลุมการกระทำในคดีนี้จริง ก็อาจมีผลต่อการยกฟ้องหรือยุติคดีได้ในอนาคต
ข้อสังเกต: รายงานของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ระบุว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ จะเป็นหลักฐานสำคัญที่ฝ่ายจำเลยสามารถนำมาประกอบการต่อสู้คดีได้
คาดการณ์ทางการเมืองช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
ขณะที่บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งเริ่มคึกคัก การดำเนินคดี ม.116 นี้จะกลายเป็น ประเด็นทางการเมืองสำคัญ ที่ถูกนำมาใช้ในการหาเสียง โดยเฉพาะสำหรับพรรครัฐบาลและพรรคที่เน้นจุดยืนด้านความมั่นคง
พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ กล้าธรรม (พรรครัฐบาล)
ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พรรคเหล่านี้จะเผชิญความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงกับการแสวงหาคะแนนเสียงจากฐานที่หลากหลาย:
- จุดยืนด้านความมั่นคงและกฎหมาย: พรรคจะเลือกที่จะ ไม่แสดงท่าทีสนับสนุนการแก้ไข ม.116 อย่างชัดเจน แต่จะเน้นย้ำถึง หลักนิติรัฐ และความจำเป็นในการรักษา ความมั่นคงของชาติ (โดยเฉพาะ ม.1 ของรัฐธรรมนูญ) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มที่กังวลเรื่องการแบ่งแยกดินแดน
- กลยุทธ์ชูผลงานด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา: เพื่อลดแรงกดดันจากประเด็นความมั่นคงที่อ่อนไหว พรรคจะเบี่ยงความสนใจไปที่การหาเสียงด้วย ผลงานด้านเศรษฐกิจ และ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในพื้นที่ (เช่น โครงการเมกะโปรเจกต์ หรือการผลักดันนโยบายหลักของพรรค) เพื่อแสดงว่ารัฐบาลเน้นการแก้ปัญหาปากท้องควบคู่ไปกับการรักษาความสงบ
- การประนีประนอมแบบซ่อนเร้นในพื้นที่ใต้: ในพื้นที่ชายแดนใต้ พรรคอาจแสดงท่าทีที่ เข้าใจปัญหาในพื้นที่ และชูแนวทางการ พัฒนาและเยียวยา แทนการใช้ความรุนแรงหรือกฎหมายที่เข้มงวดเกินไป เพื่อดึงคะแนนเสียงจากคนในพื้นที่ที่ต้องการสันติภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้ถูกมองว่าสนับสนุนแนวคิดที่ขัดต่อ ม.1
ฝ่ายค้านและพรรคที่เน้นปฏิรูป
พรรคฝ่ายค้านจะใช้โอกาสนี้ในการ วิพากษ์วิจารณ์การใช้กฎหมาย ม.116 และ การละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อตอกย้ำความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และจะเรียกร้องให้มีการ ปฏิรูปกฎหมาย ที่เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self-determination) เพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรุ่นใหม่และผู้ที่สนับสนุนการปฏิรูป
ผลต่อกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
การฟ้องคดี ม.116 ต่อนักกิจกรรมที่จัดเสวนาเกี่ยวกับ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง” ย่อมส่งผลกระทบในทางลบต่อกระบวนการสันติภาพโดยตรง:
- ทำลายความเชื่อมั่น: การดำเนินคดีทางกฎหมายต่อนักกิจกรรมที่ใช้ พื้นที่ทางวิชาการ และ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะ บั่นทอนความเชื่อมั่น ของกลุ่มคนรุ่นใหม่, ภาคประชาสังคม และกลุ่มผู้เห็นต่างต่อ ความจริงใจของรัฐไทย ในการหาทางออกด้วยการพูดคุยสันติภาพ
- จำกัดพื้นที่ปลอดภัย: คดีนี้ส่งสัญญาณว่าการพูดคุยในประเด็นพื้นฐาน เช่น สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง นั้นไม่สามารถทำได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะ จำกัด “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และอาจผลักให้ผู้เห็นต่างต้องกลับไปใช้แนวทางที่ไม่ใช่สันติวิธี
- ความท้าทายในการเจรจา: สำหรับกลุ่มผู้เห็นต่างที่เข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพ การฟ้องคดีนี้อาจถูกมองว่าเป็น สัญญาณที่ขัดแย้งกัน จากรัฐไทย (คือการเปิดโต๊ะเจรจา แต่ยังคงใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างเข้มงวดกับผู้ที่เพียงแค่ “พูดคุย”) ซึ่งอาจทำให้ การเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก ยิ่งขึ้น และสร้างความตึงเครียดให้กับบรรยากาศการพูดคุย
ท่าที กมธ.สันติภาพฯ (จาตุรนต์ ฉายแสง) ที่เคยแสดงทัศนะต่อการฟ้องคดี ม.116
คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพฯ (กมธ.สันติภาพชายแดนใต้) ซึ่งมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส. พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้เคยแสดงจุดยืนที่คัดค้านและมีข้อสังเกตอย่างจริงจังต่อการดำเนินคดีความมั่นคงต่อนักกิจกรรม:
- การดำเนินคดีทำลายบรรยากาศสันติภาพ: ประธาน กมธ. เน้นย้ำว่าการดำเนินคดีในข้อหาความมั่นคงกับนักกิจกรรมที่ทำกิจกรรมโดย สันติวิธี และใช้ พื้นที่ทางการเมือง/วิชาการ เป็นการกระทำที่ ไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ โดยตรง และจะกลายเป็น เงื่อนไข ที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบ
- การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก: กมธ. ชี้ว่าการดำเนินคดีเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับการส่งเสริม พื้นที่ทางการเมือง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ของผู้ที่มีความเห็นตรงและต่างจากรัฐบาล ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐยังไม่สามารถยอมรับความคิดที่มาจากรากฐานของอัตลักษณ์ที่แตกต่างได้
- ข้อเสนอต่อการใช้กฎหมาย: กมธ. เรียกร้องให้การดำเนินคดีกับนักกิจกรรมเป็นไปอย่าง รอบคอบ มี พยานหลักฐานที่ชัดเจน และการตั้งข้อหาที่ ได้สัดส่วน กับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น (ไม่ควรใช้ ม.116 หรือข้อหาความมั่นคงที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ) และเรียกร้องให้รัฐบาล ทบทวนปรับปรุงกฎหมายด้านความมั่นคง ที่เกี่ยวข้อง
สรุปท่าที: ท่าทีของ กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ (นำโดย จาตุรนต์ ฉายแสง) สอดคล้องกับรายงานของ กสม. คือ การ คัดค้านการใช้กฎหมายความมั่นคงเป็นเครื่องมือจำกัดเสรีภาพ และมองว่าการฟ้องคดี ม.116 ในกรณีนี้เป็นการ ทำลายความก้าวหน้า ของกระบวนการสันติภาพที่กำลังก่อตัวขึ้น
สรุป
คดี ม.116 นี้จะเป็น สนามทดสอบ ทั้งในมิติของกฎหมายและมิติของการเมือง สำหรับพรรครัฐบาล การหาเสียงจะต้องรักษาสมดุลระหว่าง “ความมั่นคง” กับ “สิทธิเสรีภาพ” ในขณะที่ผลกระทบต่อสันติภาพชายแดนใต้นั้น มีแนวโน้มที่จะ ถอยหลัง หากรัฐบาลไม่สามารถแสดงความยืดหยุ่นและการยอมรับความแตกต่างทางความคิดได้
หมายเหตุ
อัยการสั่งฟ้องคดี ม.116 “5 นักกิจกรรม-นศ. ปัตตานี” กรณีเสวนาสิทธิในการกำหนดอนาคตตัวเอง-กิจกรรมประชามติจำลอง
วันที่ 20 พ.ย. 2568 ที่ศาลจังหวัดปัตตานี พนักงานอัยการภาค 9 ได้ยื่นฟ้องคดีของนักกิจกรรมและนักศึกษาจำนวน 5 คน ในข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 กรณีถูกกล่าวหาจากกิจกรรมทำประชามติจำลอง ระหว่างงานเสวนาเรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองกับสันติภาพปาตานี” ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 โดยศาลให้ประกันตัวทั้งห้าคนในระหว่างพิจารณา
แม่ทัพภาค 4 มอบอำนาจกล่าวหา ม.116-ซ่องโจร คดีอยู่ในชั้นอัยการกว่า 1 ปี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าคน ได้แก่ อิรฟาน อูมาน, สารีฟ สะแลมัน, ฮุซเซ็น บือแน, อาเต็ฟ โซ๊ะโก และฮากิม พงตีกอ ถูกฟ้องในข้อหา “ยุยงปลุกปั่นฯ” ตามมาตรา 116, ร่วมกันเป็นซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 และเฉพาะอิรฟาน ยังถูกฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ด้วย
สำหรับเหตุที่มาในคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 กลุ่มขบวนนักศึกษาแห่งชาติ Pelajar Bangsa ได้จัดงานเปิดตัวกลุ่ม ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยภายในงานมีการปาฐกถาและเสวนาในหัวข้อเรื่อง “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี”
ในขณะเดียวกัน ระหว่างเสวนายังมีกิจกรรม ประชามติจำลอง ทดลองออกเสียงประชามติแสดงความคิดว่า “คุณเห็นด้วยกับ ‘สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง’ หรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย?”
ต่อมา พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ในขณะนั้น ได้มอบอำนาจให้ ร.อ.พนมกรณ์ พันพรมมา เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองปัตตานี
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 นักกิจกรรมทั้ง 5 คน ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยนอกจากข้อหาข้างต้น ยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันเป็น อั้งยี่ ตามมาตรา 209 ด้วย แต่พบว่าต่อมาไม่ได้มีการสั่งฟ้องข้อหานี้
ต่อมาในวันที่ 3 ต.ค. 2567 พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้กับอัยการ โดยคดีนี้เป็นคดีในหมวด ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทำให้ตามระเบียบของอัยการในพื้นที่สำนักงานอัยการภาค 9 สำนวนคดีถูกพิจารณาโดย พนักงานอัยการที่ทำคดีด้านความมั่นคงจากสำนักงานอัยการภาค 9 โดยเฉพาะ ไม่ใช่อัยการจังหวัดเหมือนในพื้นที่ภาคอื่น ๆ
หลังคดีอยู่ในชั้นอัยการครบ 1 ปี โดยผู้ต้องหาต้องส่งตัวแทนไปรายงานตัวกับอัยการในแต่ละเดือน พนักงานอัยการภาค 9 ก็ได้มีคำสั่งฟ้องคดี โดยในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ต้องหายังได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมขอให้อัยการชะลอการฟ้องคดีไว้ เนื่องจากตามทางสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ในวาระที่สองและสาม ซึ่งคดีนี้น่าจะเข้าข่ายตามกฎหมายดังกล่าวด้วย แต่กฎหมายยังต้องรอการพิจารณาในชั้นวุฒิสภาต่อไป
ต่อมาในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ทางอัยการยืนยันการสั่งฟ้องคดีนี้ตามนัดในวันที่ 20 พ.ย. 2568
อัยการฟ้องเป็น 2 กระทง กล่าวหาการกระทำขัดต่อ ม.1 ของรัฐธรรมนูญ
สุภัทรชัย เมียนเกิด พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 ได้เป็นผู้เรียงฟ้องในคดีนี้ โดยฟ้องใน 2 กระทง โดยสรุปว่า
1. กระทงความผิดข้อหาเรื่องร่วมกันเป็นซ่องโจร โดยกล่าวหาว่าระหว่างวันที่ 31 พ.ค. 2566 ถึงวันที่ 7 มิ.ย. 2566 จำเลยทั้งห้าได้สมคบร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อจัดกิจกรรมโดยออกประกาศเชิญชวนทางเฟซบุ๊กของขบวนนักศึกษาแห่งชาติ กำหนดจัดเสวนาในหัวข้อ สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี” ณ ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในวันที่ 7 มิ.ย. 2566 เวลา 10.00-16.00 น. โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา 5 คน โดยมีอาเต๊ฟ และฮากิม จำเลยที่ 4-5 ร่วมเสวนาด้วย
ข้อกล่าวหาระบุว่ากิจกรรมได้มีการให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วม และถ่ายทอดการเสวนาผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ ในลักษณะชี้นำให้ผู้เข้าร่วมเข้าคูหาลงมติแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง และการออกเสียงทำประชามติแยกตัวเป็นเอกราชอย่างถูกกฎหมาย เป็นการชักชวน จูงใจ หรือชี้นำให้ประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวหรือขัดแย้งกันในเรื่องแนวความคิดและความเป็นชาติพันธุ์ ให้เห็นพ้องด้วยกับพวกตน
เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 1 และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 โดยความผิดที่จำเลยทั้งห้า
3,019 total views, 13 views today

More Stories
“ทวี” ย้ำสู้ต่อ! ลุยนำ “ประชาชาติ” ป้องกันแชมป์ชายแดนใต้ สยบข่าวลือซบ “เพื่อไทย”
สงขลาเดือด! สวิงการเมืองใต้ 3 ขั้ว: ‘ทุนเทา’ อาจสกัด ‘กล้าธรรม’ เปิดทาง ‘อภิสิทธิ์ฟื้น’
รายงานข่าว: สันติภาพไทย-กัมพูชา หลังระงับ “ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” มาเลเซียเดินหน้าบทบาทผู้อำนวยความสะดวก