ธันวาคม 7, 2025

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

เลขาธิการ ศอ.บต. คนใหม่: ญาติ อดีตภรรยา ‘อนุทิน’ กับความท้าทายบนสมรภูมิปลายด้ามขวาน และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ศอ.บต.

แชร์เลย

โดย อุสตาซ อับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

     หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติแต่งตั้ง นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ศอ.บต. ขึ้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) คนใหม่ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 โดยเข้ามาแทน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ที่โยกไปเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน

     การเปลี่ยนผ่านผู้นำ ศอ.บต. ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งสัญญาว่าจะเข้ามาบริหารประเทศได้ 4 เดือน ซึ่งคาดว่าต้องเผชิญกับวาระสำคัญและความท้าทายเชิงโครงสร้างในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ที่รอการสะสางอย่างเร่งด่วน


     สำนักข่าวอิศราเปิดเผยว่า นายปิยะศิริ หรือที่ลูกน้องเรียกว่า “รองฯบอย” มีโปรไฟล์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยพื้นฐานการทำงานที่เข้มข้นในหลายมิติ ตั้งแต่เป็น “นักการข่าว” ในสำนักข่าวกองแห่งชาติ ก่อนจะก้าวสู่บทบาทสำคัญใน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในฐานะ “มือปราบแชร์ลูกโซ่” และรองเลขาธิการ ป.ป.ส. มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย คดีพิเศษ และงานความมั่นคงเป็นอย่างสูง ที่สำคัญที่สุดคือ เขายังมีสายสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยมีนามสกุลพ้องกับสกุลเดิมของภรรยาคนแรกของนายกฯ ซึ่งถูกมองว่าเป็น “คนไม่ไกล” ของรัฐบาล

     การเข้ามาดำรงตำแหน่งสูงสุดของ ศอ.บต. ในเวลานี้ จึงเป็นการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ด้านความมั่นคง/ปราบปราม กับความคาดหวังในการเร่งรัดงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เคยรับผิดชอบมาก่อน ในยุคที่รัฐบาลต้องการเน้นการบูรณาการงานอย่างเข้มข้น


การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ศอ.บต. ในยุค ‘รองฯบอย’

     ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มีการกำหนดและปรับปรุงยุทธศาสตร์เป็นระยะ โดยเฉพาะในแผนปฏิบัติราชการช่วงปี พ.ศ. 2566-2570 ซึ่งเน้นมิติของการพัฒนาควบคู่กับการรักษาความมั่นคง และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ยุทธศาสตร์หลักที่เลขาธิการคนใหม่จะต้องนำมาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมมีดังนี้:


1. การพัฒนาเศรษฐกิจ: จากฐานรากสู่ระเบียงฮาลาล

     การขับเคลื่อนต้องเน้นการแปลงนโยบายให้เป็นโครงการที่สามารถยกระดับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) และรายได้ต่อหัวประชากรให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้น:

  • เศรษฐกิจฐานราก: สร้างความเข้มแข็งให้ครัวเรือนและชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมอาชีพใหม่ๆ
  • อนุภูมิภาค: ขับเคลื่อนการค้า-การลงทุน การเกษตรและอาหาร ในกรอบ ระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล และพัฒนาพื้นที่ชายแดนภายใต้นโยบาย Twin City ร่วมกับมาเลเซีย เพื่อสร้างงานและกระจายรายได้

2. การพัฒนาสังคมและความเป็นธรรม: สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมเข้มแข็ง

     งานด้านสังคมต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับงานความมั่นคง โดยต้องเสริมสร้าง สังคมพหุวัฒนธรรม ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข พร้อมทั้ง อำนวยความเป็นธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้ง และจัดการปัญหาเรื้อรัง เช่น ยาเสพติด


3. การรักษาความมั่นคงและสร้างความร่วมมือ: บูรณาการเป็นเอกภาพ

     การทำงานต้องเน้นการ บูรณาการร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ระหว่างทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชนควบคู่ไปกับการ ยกระดับงานด้านการข่าวเชิงรุก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ให้ได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น และที่สำคัญคือการ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชน ในการมีส่วนร่วมแก้ปัญหา


โจทย์ท้าทาย: นโยบายรัฐบาล และเสียงเรียกร้องจากประชาชน

     การเข้ารับตำแหน่งของเลขาธิการ ศอ.บต. คนใหม่ ต้องรับมือกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “นโยบายดับไฟใต้ 4 บรรทัด” ของรัฐบาลอนุทินที่เน้นเพียงหลักการกว้าง ๆ แต่ขาดความชัดเจนและเครื่องมือปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม


1. สันติภาพ: ไปต่อหรือพอแค่นี้?

     ความท้าทายที่หนักที่สุดคือ การที่นโยบายของรัฐบาล ละเลย การกล่าวถึง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข/สันติภาพ” อย่างชัดเจน ซึ่งสวนทางกับข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมที่ต้องการให้เป็น “วาระแห่งชาติ” แม้รัฐบาลจะตั้ง พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ คนใหม่ แต่ “รองฯบอย” ในฐานะผู้นำงานพัฒนา จะต้องแสดงบทบาทในการประสานและผลักดันที่จะใช้ “การเมืองนำการทหาร” ในการแก้ปัญหา


2. ความกังวลเรื่องยาเสพติดและนโยบายภูมิใจไทย (เดิม)

     แม้ว่านายปิยะศิริจะมีพื้นฐานจากงานปราบปรามยาเสพติดที่ ป.ป.ส. ซึ่งเคยสร้างความก้าวหน้าในการใช้หลักศาสนบำบัด แต่ความสำเร็จนี้กลับมาอยู่บนความเสี่ยงภายใต้ นโยบายกัญชาและกระท่อม ของพรรคภูมิใจไทยเดิมตอนหาเสียง (พรรคนายกฯ อนุทิน) เลขาธิการฯ คนใหม่ จึงมีโจทย์ใหญ่ในการรักษาความก้าวหน้าในการปราบปราม และต้องหาวิธีบริหารจัดการนโยบายของรัฐบาลอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ปัญหายาเสพติดกลับมาทำลายเยาวชนในพื้นที่อีกครั้ง


3. การทำงานร่วมกับกลไกภาคประชาสังคม: สภาที่ปรึกษา ศอ.บต. ‘โซ่ข้อกลาง’ ที่ต้องฟื้นฟู

     ความท้าทายสำคัญคือ การเข้ามาทำงานในช่วงที่กลไกการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่าง “สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สภาที่ปรึกษา ศอ.บต.)” กำลังฟื้นคืนชีพอย่างเต็มรูปแบบ หลังถูกระงับไปนาน

     นายขดดะรี บินเซ็น ประธานสภาที่ปรึกษาฯ มองว่ากลไกนี้เป็น “โซ่ข้อกลาง” ที่สำคัญในการนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายจากประชาชนไปสู่รัฐบาล การยกระดับศักยภาพและ “คืนอำนาจและศักดิ์” ให้แก่สภาที่ปรึกษาฯ อย่างแท้จริง จึงเป็นงานเร่งด่วนที่เลขาธิการฯ ต้องให้การสนับสนุน


4. การทำงานร่วมกับแม่ทัพคนใหม่ และปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ

     การเข้ามาของ พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ ที่เน้น “ไม่รบ-เน้นรับฟัง” ทำให้เลขาธิการ ศอ.บต. และแม่ทัพคนใหม่ต้องร่วมกันพิสูจน์ให้เห็นว่า การบริหารจัดการจะเข้าถึงรากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง นอกเหนือจากกรอบความมั่นคง  นอกจากนี้ ศอ.บต. ยังต้องเร่งคลี่คลายปัญหาอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลโดยตรง เช่น ข้อกังวลต่อ โครงการ SEA สงขลา-ปัตตานี (จะนะเมืองอุตสาหกรรม) และการจัดการวิกฤตการณ์ “ลอยแพ” ผู้แสวงบุญฮัจญ์และอุมเราะห์ ซึ่งต้องมีการตั้ง “กองทุนเยียวยาฉุกเฉิน” และปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย “นอมินี” อย่างเด็ดขาด


เครดิตสำคัญ: สะสางปัญหาคอร์รัปชัน (ที่รอนายใหม่)

     อีกประการสำคัญมากๆ ที่จะสร้างเครดิตให้แก่เลขาธิการคนใหม่ได้มาก หากสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ การจัดการกับ ปัญหาคอร์รัปชัน ที่เป็นข่าวมาในอดีตขององค์กร ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและประสิทธิภาพการใช้งบประมาณในพื้นที่

ด้าน ปัญหา (ที่เคยปรากฏ หรือมีความเสี่ยง) แนวทางแก้ไข/ทางออก (ที่ควรมุ่งเน้น)
ปัญหาการทุจริต/คอร์รัปชันในองค์กร 1. ความเสี่ยงในการจัดซื้อจัดจ้างและการคลัง (งบประมาณพื้นที่สูง) 1. สร้างระบบป้องกันเชิงรุกและโปร่งใส: ปรับปรุงแนวทางการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง และเปิดเผยข้อมูลการใช้งบประมาณอย่างละเอียด
2. การใช้อำนาจและดุลพินิจโดยมิชอบ 2. ยกระดับจรรยาบรรณและการตรวจสอบ: มีระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจดุลพินิจที่โปร่งใส และสร้างเกียรติภูมิในอาชีพข้าราชการ
ปัญหาเชิงโครงสร้าง/ภาพรวม 3. การขาดการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากภายนอก 3. เสริมพลังภาคประชาชนและบูรณาการการทำงาน: จัดตั้งองค์กรภาคประชาชนในการตรวจสอบการทุจริต และเปิดช่องทางแจ้งเบาะแสที่มีประสิทธิภาพ

     เลขาธิการฯ คนใหม่ ด้วยพื้นฐาน “มือปราบ” จาก DSI และ ป.ป.ส. มีความรู้และประสบการณ์โดยตรงในการจัดการคดีพิเศษและการปราบปราม ซึ่งเป็นความหวังในการนำความเชี่ยวชาญนี้มา สร้างระบบป้องกันเชิงรุกและปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด ใน ศอ.บต. เพื่อเรียกคืนความศรัทธาและทำให้งบประมาณทุกบาทเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง


บทสรุป: ความหวังในการบริหารในยุค ‘รองฯบอย’

     การเข้ารับตำแหน่งของ “รองฯบอย” ในฐานะเลขาธิการ ศอ.บต. จึงเป็น เดิมพันสำคัญ ในการเปลี่ยนถ้อยแถลงที่คลุมเครือของ “นโยบายดับไฟใต้ 4 บรรทัด” ให้กลายเป็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีโจทย์หลักคือการ บูรณาการงานพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่าน สภาที่ปรึกษา ศอ.บต. เลขาธิการ ศอ.บต. (นายปิยะศิริ) ต้องประสานงานกับกลไกนี้อย่างใกล้ชิด และแสดง เจตจำนงทางการเมือง ที่ชัดเจนในการใช้ “สันติภาพเป็นยุทธศาสตร์หลัก” ในการเดินหน้าต่อไป พร้อมกับการ กวาดล้างคอร์รัปชันอย่างถึงราก เพื่อนำความสงบสุขที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วมกลับคืนสู่ปลายด้ามขวานให้ได้โดยเร็วที่สุด.

 3,076 total views,  4 views today

You may have missed