ธันวาคม 7, 2025

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

4 เดือนพอหรือ? สันติภาพชายแดนใต้ในสมการการเมืองของรัฐบาลใหม่ ‘อนุทิน’ และข้อเรียกร้องจากปลายด้ามขวาน

แชร์เลย

4 เดือนพอหรือ? สันติภาพชายแดนใต้ในสมการการเมืองของรัฐบาลใหม่ ‘อนุทิน’ และข้อเรียกร้องจากปลายด้ามขวาน
โดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) รองประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้

จากเสียงระเบิดถึงรายงาน กมธ. : วาระแห่งชาติที่ถูกมองข้าม
     ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ดินแดนปลายด้ามขวานยังคงจมอยู่กับความรุนแรงที่ไม่จบสิ้น ความหวาดกลัวได้กัดกินชีวิตผู้คนในจังหวัดชายแดนใต้ จนพวกเขาไม่อาจทนอยู่กับความสูญเสียต่อไปได้อีกแล้ว ตัวเลขสถิติที่น่าตกใจจากสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เป็นเครื่องยืนยันความล้มเหลวของรัฐบาลหลายชุด: นับตั้งแต่ปี 2547 มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกว่า 22,928 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7,676 คน และบาดเจ็บ 14,385 คน รวมถึงเด็กกำพร้ากว่า 7,000 คน ที่ต้องเผชิญความยากลำบาก

     เหตุการณ์ระเบิดกว่า 10 จุด ที่ดังขึ้นพร้อมกันเมื่อคืนวันที่ 31 สิงหาคม ใน จ.ยะลาและนราธิวาส จึงเป็นภาพสะท้อนล่าสุดของความไร้ซึ่งความมั่นคง ในขณะที่กระบวนการพูดคุยสันติสุขกำลังหยุดชะงัก ประชาชนกลับต้องเผชิญกับความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ภาคประชาชนจึงผนึกกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศให้ “การสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ต้องเป็นวาระแห่งชาติ”

ความท้าทาย 4 เดือนของรัฐบาลใหม่: เสียงจากชายแดนใต้ถึง ‘อนุทิน’
     นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงปิดนโยบายของรัฐบาล โดยย้ำถึงความโปร่งใส และขอเวลา 4 เดือน ในการทำงานอย่าง “ขาวสะอาด” พร้อมเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภา อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวาระเร่งด่วนเหล่านี้ ปัญหาชายแดนใต้ดูเหมือนจะยังไม่ได้อยู่ในสมการการเมืองหลัก

     เมื่อวันที่ 2 กันยายน สภาประชาสังคมชายแดนใต้และเครือข่ายภาคประชาชนรวม 45 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์เปิดผนึกถึงพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีข้อเรียกร้องให้พิจารณาเพิ่มเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการประกาศให้การสร้างสันติภาพในพื้นที่เป็น วาระแห่งชาติ และเร่งขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เนื่องจาก “ประชาชนในพื้นที่ไม่อาจแบกรับผลกระทบและความทุกข์ทรมานเช่นที่เป็นมาตลอดสองทศวรรษได้อีกต่อไป”

     นอกจากความรุนแรงและกระบวนการสันติภาพที่หยุดชะงักแล้ว ชาวชายแดนใต้ยังมีความกังวลต่อโครงการขนาดใหญ่ที่เคยถูกผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทย เช่น โครงการ SEA สงขลา-ปัตตานี (จะนะเมืองอุตสาหกรรม) รวมถึงนโยบายเกี่ยวกับ “กระท่อม-กัญชา” ที่ภาคประชาสังคมและผู้นำศาสนาได้สร้างปฏิบัติการ “ไม่เอากระท่อม” ที่แข็งแกร่งในพื้นที่ โดยใช้หลัก ฮูกุมปากัต (ธรรมนูญหมู่บ้าน) และ หลักศาสนบำบัด ในการฟื้นฟูผู้ติดยา ซึ่งความสำเร็จนี้อาจต้องสูญเปล่า หากรัฐบาลนำนโยบายเกี่ยวกับพืชเหล่านี้มาปรับใช้อย่างไม่รอบคอบ

ชะตากรรมรายงาน กมธ. สันติภาพ: ความหวังที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
    สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อ รายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งใช้เวลาทำงานกว่า 2 ปี ได้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

     นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ได้เปิดเผยข้อสรุปจากการศึกษา โดยเน้นย้ำว่าปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้เป็น “ปัญหาการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง” อย่างไรก็ตาม ความกังวลสูงสุดในขณะนี้คือ รายงานฉบับนี้จะถูกผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทันอายุของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีเวลาเพียง 4 เดือน หรือไม่ หากรายงานไม่ได้รับการพิจารณา ความพยายามและความทุ่มเทกว่า 2 ปีอาจต้องสูญเปล่าทันที

     รายงานฉบับนี้ได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย 9 ประเด็นสำคัญ เพื่อพลิกโฉมแนวทางการแก้ปัญหาในพื้นที่ให้ยั่งยืน โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านจาก มิติความมั่นคง ไปสู่ “มิติการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน” ข้อเสนอหลัก ๆ ได้แก่:

  • สร้างเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน: ให้นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งให้ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพเป็นหลักในการแก้ปัญหา

  • ปรับโครงสร้างกลไกการทำงาน: ลดบทบาทของหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สมช. และ กอ.รมน. ในด้านเศรษฐกิจและสังคม และจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับทิศทางกระบวนการสันติภาพ

  • เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย

  • ปรับเปลี่ยนการใช้กฎหมาย: เสนอให้เปลี่ยนจากการใช้กฎหมายความมั่นคงไปสู่กฎหมายปกติ

  • กระจายอำนาจ: ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการกระจายอำนาจและรูปแบบการปกครองที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่

บทบาทของภาคประชาสังคม: ผู้กำหนดทิศทางสันติภาพ
     ในสถานการณ์ที่เวลาการพิจารณาของสภาฯ มีจำกัดและไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้ บทบาทของ ภาคประชาสังคมในพื้นที่ จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญสูงสุดต่ออนาคตของรายงานฉบับนี้ ในการสร้างความเข้าใจและแรงผลักดันในวงกว้าง

     การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและนักวิชาการ เช่น การจัดงานเสวนา “สันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้นำข้อเสนอร่าง กมธ. มาถกเถียง และการจัดงาน “We Are One Family ต่างที่มา แต่เราคือครอบครัวเดียวกัน” โดยคณะขับเคลื่อนการพูดคุยสันติสุขระดับพื้นที่ (คพท.) ล้วนเป็นความพยายามในการสร้างความเข้าใจและเสริมสร้างพลังร่วม

     ปัญหาชายแดนใต้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนในพื้นที่ แต่ได้กลายเป็น วาระสำคัญระดับชาติ ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยมี เสียงของประชาชนในพื้นที่ เป็นพลังสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของสันติภาพต่อ

     คำถามทิ้งท้าย: ในสถานการณ์ที่การเมืองในสภามีเวลาจำกัด ภาคประชาสังคมควรดำเนินการอย่างไรเพื่อเพิ่มแรงผลักดันให้รายงาน กมธ. สันติภาพชายแดนใต้ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังและผลักดันข้อเสนอให้เป็นจริง?

หมายเหตุ
อ่านเพิ่มเติมรายงาน กมธ.สันติภาพฉบับเต็มใน https://shorturl.asia/dQraw

 11,192 total views,  2 views today

You may have missed