4 เดือนพอหรือ? สันติภาพชายแดนใต้ในสมการการเมืองของรัฐบาลใหม่ ‘อนุทิน’ และข้อเรียกร้องจากปลายด้ามขวาน
โดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) รองประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้

จากเสียงระเบิดถึงรายงาน กมธ. : วาระแห่งชาติที่ถูกมองข้าม
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ดินแดนปลายด้ามขวานยังคงจมอยู่กับความรุนแรงที่ไม่จบสิ้น ความหวาดกลัวได้กัดกินชีวิตผู้คนในจังหวัดชายแดนใต้ จนพวกเขาไม่อาจทนอยู่กับความสูญเสียต่อไปได้อีกแล้ว ตัวเลขสถิติที่น่าตกใจจากสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เป็นเครื่องยืนยันความล้มเหลวของรัฐบาลหลายชุด: นับตั้งแต่ปี 2547 มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกว่า 22,928 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7,676 คน และบาดเจ็บ 14,385 คน รวมถึงเด็กกำพร้ากว่า 7,000 คน ที่ต้องเผชิญความยากลำบาก
เหตุการณ์ระเบิดกว่า 10 จุด ที่ดังขึ้นพร้อมกันเมื่อคืนวันที่ 31 สิงหาคม ใน จ.ยะลาและนราธิวาส จึงเป็นภาพสะท้อนล่าสุดของความไร้ซึ่งความมั่นคง ในขณะที่กระบวนการพูดคุยสันติสุขกำลังหยุดชะงัก ประชาชนกลับต้องเผชิญกับความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ภาคประชาชนจึงผนึกกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศให้ “การสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ต้องเป็นวาระแห่งชาติ”
ความท้าทาย 4 เดือนของรัฐบาลใหม่: เสียงจากชายแดนใต้ถึง ‘อนุทิน’
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงปิดนโยบายของรัฐบาล โดยย้ำถึงความโปร่งใส และขอเวลา 4 เดือน ในการทำงานอย่าง “ขาวสะอาด” พร้อมเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภา อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวาระเร่งด่วนเหล่านี้ ปัญหาชายแดนใต้ดูเหมือนจะยังไม่ได้อยู่ในสมการการเมืองหลัก
เมื่อวันที่ 2 กันยายน สภาประชาสังคมชายแดนใต้และเครือข่ายภาคประชาชนรวม 45 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์เปิดผนึกถึงพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีข้อเรียกร้องให้พิจารณาเพิ่มเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการประกาศให้การสร้างสันติภาพในพื้นที่เป็น วาระแห่งชาติ และเร่งขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เนื่องจาก “ประชาชนในพื้นที่ไม่อาจแบกรับผลกระทบและความทุกข์ทรมานเช่นที่เป็นมาตลอดสองทศวรรษได้อีกต่อไป”
นอกจากความรุนแรงและกระบวนการสันติภาพที่หยุดชะงักแล้ว ชาวชายแดนใต้ยังมีความกังวลต่อโครงการขนาดใหญ่ที่เคยถูกผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทย เช่น โครงการ SEA สงขลา-ปัตตานี (จะนะเมืองอุตสาหกรรม) รวมถึงนโยบายเกี่ยวกับ “กระท่อม-กัญชา” ที่ภาคประชาสังคมและผู้นำศาสนาได้สร้างปฏิบัติการ “ไม่เอากระท่อม” ที่แข็งแกร่งในพื้นที่ โดยใช้หลัก ฮูกุมปากัต (ธรรมนูญหมู่บ้าน) และ หลักศาสนบำบัด ในการฟื้นฟูผู้ติดยา ซึ่งความสำเร็จนี้อาจต้องสูญเปล่า หากรัฐบาลนำนโยบายเกี่ยวกับพืชเหล่านี้มาปรับใช้อย่างไม่รอบคอบ
ชะตากรรมรายงาน กมธ. สันติภาพ: ความหวังที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อ รายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งใช้เวลาทำงานกว่า 2 ปี ได้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ได้เปิดเผยข้อสรุปจากการศึกษา โดยเน้นย้ำว่าปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้เป็น “ปัญหาการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง” อย่างไรก็ตาม ความกังวลสูงสุดในขณะนี้คือ รายงานฉบับนี้จะถูกผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทันอายุของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีเวลาเพียง 4 เดือน หรือไม่ หากรายงานไม่ได้รับการพิจารณา ความพยายามและความทุ่มเทกว่า 2 ปีอาจต้องสูญเปล่าทันที
รายงานฉบับนี้ได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย 9 ประเด็นสำคัญ เพื่อพลิกโฉมแนวทางการแก้ปัญหาในพื้นที่ให้ยั่งยืน โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านจาก มิติความมั่นคง ไปสู่ “มิติการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน” ข้อเสนอหลัก ๆ ได้แก่:
-
สร้างเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน: ให้นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งให้ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพเป็นหลักในการแก้ปัญหา
-
ปรับโครงสร้างกลไกการทำงาน: ลดบทบาทของหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สมช. และ กอ.รมน. ในด้านเศรษฐกิจและสังคม และจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับทิศทางกระบวนการสันติภาพ
-
เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย
-
ปรับเปลี่ยนการใช้กฎหมาย: เสนอให้เปลี่ยนจากการใช้กฎหมายความมั่นคงไปสู่กฎหมายปกติ
-
กระจายอำนาจ: ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการกระจายอำนาจและรูปแบบการปกครองที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่


บทบาทของภาคประชาสังคม: ผู้กำหนดทิศทางสันติภาพ
ในสถานการณ์ที่เวลาการพิจารณาของสภาฯ มีจำกัดและไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้ บทบาทของ ภาคประชาสังคมในพื้นที่ จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญสูงสุดต่ออนาคตของรายงานฉบับนี้ ในการสร้างความเข้าใจและแรงผลักดันในวงกว้าง
การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและนักวิชาการ เช่น การจัดงานเสวนา “สันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้นำข้อเสนอร่าง กมธ. มาถกเถียง และการจัดงาน “We Are One Family ต่างที่มา แต่เราคือครอบครัวเดียวกัน” โดยคณะขับเคลื่อนการพูดคุยสันติสุขระดับพื้นที่ (คพท.) ล้วนเป็นความพยายามในการสร้างความเข้าใจและเสริมสร้างพลังร่วม
ปัญหาชายแดนใต้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนในพื้นที่ แต่ได้กลายเป็น วาระสำคัญระดับชาติ ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยมี เสียงของประชาชนในพื้นที่ เป็นพลังสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของสันติภาพต่อ
คำถามทิ้งท้าย: ในสถานการณ์ที่การเมืองในสภามีเวลาจำกัด ภาคประชาสังคมควรดำเนินการอย่างไรเพื่อเพิ่มแรงผลักดันให้รายงาน กมธ. สันติภาพชายแดนใต้ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังและผลักดันข้อเสนอให้เป็นจริง?
หมายเหตุ
อ่านเพิ่มเติมรายงาน กมธ.สันติภาพฉบับเต็มใน https://shorturl.asia/dQraw
11,192 total views, 2 views today

More Stories
บทวิเคราะห์ หลัง “อัยการสั่งฟ้องคดี ม.116 “5 นักกิจกรรม-นศ. ปัตตานี” กรณีเสวนาสิทธิในการกำหนดอนาคตตัวเอง-กิจกรรมประชามติจำลอง
“ทวี” ย้ำสู้ต่อ! ลุยนำ “ประชาชาติ” ป้องกันแชมป์ชายแดนใต้ สยบข่าวลือซบ “เพื่อไทย”
สงขลาเดือด! สวิงการเมืองใต้ 3 ขั้ว: ‘ทุนเทา’ อาจสกัด ‘กล้าธรรม’ เปิดทาง ‘อภิสิทธิ์ฟื้น’