อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ภาพข่าวที่สื่อทั่วโลกรายงานสดนักรบฏอลิบานเข้าสู่ทำเนียบประธานาธิบดีของอัฟกานิสถานยึดอำนาจรัฐบาลหุ่นเชิดอเมริกา(ตามทัศนะฏอลิบาน) เมื่อ วันอาทิตย์ 15 สิงหาคม 2564 แล้วอ่านอัลกุรอาน ซูเราะห์ ที่ 111 อัลนัสร์ (แปลว่าความช่วยเหลือ)
سورة النصر
มีสามโองการดังนี้
آية: 1
إِذَا جَآءَ نَصۡرُ ٱللَّهِ وَٱلۡفَتۡحُ
[110.1] เมื่อความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ และการพิชิตได้มาถึงแล้ว
آية: 2
وَرَأَيۡتَ ٱلنَّاسَ يَدۡخُلُونَ فِي دِينِ ٱللَّهِ أَفۡوَاجٗا
[110.2] และเจ้าได้เห็นประชาชนเข้าในศาสนาของอัลลอฮฺเป็นหมู่ๆ
آية: 3
فَسَبِّحۡ بِحَمۡدِ رَبِّكَ وَٱسۡتَغۡفِرۡهُۚ إِنَّهُۥ كَانَ تَوَّابَۢا
[110.3] ดังนั้น จงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า และจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด แท้จริงพระองค์
(ฟังและดูคลิปย้อนหลังใน
https://www.facebook.com/1245604111/posts/10226560774346005/?d=n)
การอ่านอัลกุรอานซูเราะห์ ดังกล่าวข้างต้นทำให้นึกถึงการพิชิตนครมักกะฮ์ของนบีมุฮัมมัดและฏอลิบาน เองก็คงส่งสัญญาณบางอย่างต่อประชาคมโลกโดยเฉพาะมุสลิม
สำหรับการพิชิตนครมักกะฮ์ของนบีมีรายละเอียดดังนี้
#1.สาเหตุของการพิชิตนครมักกะฮ์ของนบีมุฮัมมัด
หลังจากที่ได้ทำข้อตกลงประนีประนอม ณ �ฮุดัยบียะฮ์� 18 เดือน จึงเกิดสงครามระหว่างเผ่าคุซาอะฮ์ซึ่งเป็นมิตรของมุสลิม กับเผ่าบนีบักร์ ซึ่งร่วมกับชาวกุเรช โดยพวกกุเรชเข้ามาแทรกแซงและให้การสนับสนุนในการทำสงคราม แต่ตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาประนีประนอมที่ฮุดัยบียะฮ์ได้บ่งบอกไว้ว่า �การละเมิดใดๆก็ตามที่มีต่อมิตรของมุสลิม ให้ถือว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาที่ได้ทำกันไว้� เพราะฉะนั้นจึงถือว่ากุเรชได้ทำผิดสนธิสัญญาประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ท่านเราะซูล (นบีมุฮัมมัด)ให้ความช่วยเหลือเผ่าคุซาอะฮ์ ทันทีที่พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือมา
บรรดามุสลิมได้เคลื่อนทัพสู่นครมักกะฮ์ และทำการพิชิตนครมักกะฮ์
พวกกุเรชรู้สึกเสียใจต่อการเข้าไปรุกรานมิตรของท่านเราะซูล จึงส่งอบูซุฟยานไปหาเพื่อยืนยันในข้อตกลงสงบศึก แต่ได้รับความล้มเหลวในการเจรจา อบูซุฟยานจึงเดินทางกลับมักกะฮ์อย่างผู้ผิดหวัง ท่านเราะซูล ได้มีคำสั่งให้บรรดาซอฮาบะฮ์(อัครสาวกศาสนฑูต)เตรียมพร้อมเพื่อออกเดินทาง โดยที่มิได้แจ้งให้ทราบถึงทิศทางที่จะไป จนเมื่อกำหนดเวลามาถึง ท่านเราะซูล ได้แจ้งให้บรรดาซอฮาบะฮ์ทราบถึงความประสงค์ที่จะไปทำสงครามที่นครมักกะฮ์ ท่านต้องการจู่โจมพวกกุเรชอย่างกระทันหันไม่ให้ระวังตัว เพื่อจะได้ยอมจำนนโดยไม่มีการต่อสู้กัน
บรรดามุสลิมได้ออกเดินทางไปกับท่านเราะซูล ในวันที่ 10 เดือนรอมฎอน ปีที่ 8 แห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช มีจำนวนทั้งสิ้น 10,000 นาย เมื่อบรรดามุสลิมเดินทางเข้ามาใกล้นครมักกะฮ์ มีผู้นำกุเรช อบูซุฟยานได้มองเห็นกองกำลังของมุสลิมในขณะที่กำลังลาดตระเวนอยู่ จึงรีบเดินทางกลับเข้ามักกะฮ์ เพื่อเรียกร้องให้ชาวมักกะฮ์ยอมจำนน และห้ามมิให้ทำการต่อต้านใดๆ ท่านเราะซูล ได้กระจายกองกำลังเข้านครมักกะฮ์ และห้ามมิให้สังหารผู้ใด เว้นแต่มีคนต่อสู้ขัดขวางและสังหารมุสลิมก่อน มุสลิมจึงได้รับความสำเร็จในการเข้าสู่นครมักกะฮ์ ทันทีที่ท่านเราะซูล เข้าไปในนครมักกะฮ์ ท่านได้ประกาศให้ความปลอดภัยแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านเรือนของตน และใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านของอบูซุฟยาน เขาผู้นั้นจะได้รับความปลอดภัย ผู้ใดวางอาวุธเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดภัยเช่นกัน
ท่านเราะซูล เข้าในนครมักกะฮ์อย่างสำรวมนอบน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านมิได้เข้าไปเหมือนดังกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หรือต้องการจะทำการแก้แค้นศัตรู ทั้งๆที่มุสลิมได้ประสบกับความเจ็บปวด การถูกทำร้าย ถูกรังแก จากชาวมักกะฮ์มากมายทั้งก่อนและหลังการอพยพ ท่านเราะซูล ได้ประกาศต่อหน้ากลุ่มชนชาวกุเรชที่อยู่ในสภาพกระวนกระวายใจว่า :
�ท่านทั้งหลายคิดว่าฉันจะทำอย่างไรกับพวกท่าน ?�
พวกเขากล่าวว่า :
�ท่านจะต้องทำในสิ่งที่ดีแน่ ๆ เพราะท่านเป็นคนมีเมตตา และเป็นลูกของคนมีเมตตา�
ท่านเราะซูล กล่าวว่า :
((لا تثريب عليكم اليوم يغفر الله لكم ))
�วันนี้ ไม่มีการตำหนิติเตียนต่อพวกท่านแต่ประการใด เพราะอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกท่าน� (*1*)
ท่านเราะซูล ได้ให้อภัยแก่ชาวมักกะฮ์ เว้นแต่คนที่ทำผิดข้อสัญญาและข้อตกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขายังล่วงละเมิดด้วยการเยาะเย้ยถากถางท่าน และศาสนาของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านจึงสั่งให้ฆ่าพวกเหล่านั้น และได้ทำลายรูปบูชารูปปั้นทั้งหมด และชำระล้างมัสญิดฮะรอมให้สะอาด บริสุทธิ์จากรูปบูชาเหล่านั้น ท่านเราะซูลได้ส่งซอฮาบะฮ์ไปทำลายรูปบูชาของเผ่าอื่นๆด้วย การพิชิตนครมักกะฮ์ และการให้อภัยชาวมักกะฮ์ทั้งหมด ทำให้พวกเขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม การต่อต้านจึงได้ยุติลง
#2.ผลสำเร็จของการพิชิตมักกะฮ์
การพิชิตมักกะฮ์เป็นการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับพวกปฏิเสธชาวกุเรช และด้วยการยอมจำนน ทำให้อุปสรรคที่กีดขวางแนวทางของอิสลามต้องหมดสิ้นไป มีชนเผ่าต่างๆ คิดว่าจะต้องมีการต่อสู้ระหว่างมุฮัมมัดกับพวกกุเรชเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อการต่อต้านของพวกกุเรชยุติลงแล้ว และพวกเขาได้เข้ารับอิสลาม ชนเผ่าอื่นๆจึงทยอยกันเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม (*2*)
ในกรณีนี้ อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานซูเราะฮ์ อันนัศร์ ลงมา ;
เมื่อความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ และการพิชิตได้มาถึงแล้ว
และเจ้า(มุฮัมมัด)ได้เห็นประชาชนเข้ารับศาสนาของอัลลอฮ์กันเป็นหมู่ๆ
ดังนั้นจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า และจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเสมอ
(อันนัศร์ 110 : 1-3)
สิ่งที่แสดงว่ามีผู้คนเข้ารับศาสนาอิสลามกันเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ได้พิชิตมักกะฮ์แล้ว ในสงครามฮุนัยน์ ซึ่งเกิดขึ้นหลังการพิชิตมักกะฮ์ ได้มีนักรบเข้าร่วมในสงครามถึง 12,000 นาย (*3*)
เผ่าซะกีฟสรรหาผู้นำในการทำชิริก �การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา�
ชนเผ่าซะกีฟ ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ของเผ่าฮะวาซิน พยามทำหน้าที่เป็นหัวหน้าขบวนการทำชิริก ปกป้องคุ้มครองการทำชิริก และสู้รบกับบรรดามุสลิมแทนเผ่ากุเรช ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้พิชิตมักกะฮ์แล้วกองกำลังมุสลิมจึงมุ่งหน้าไปปราบปราม และได้สู้รบกันที่สมรภูมิ �ฮุนัยน์�
การปะทะกันครั้งแรกพวกฮะวาซิน มีทหารถึง 20,000 นาย พวกเขาจึงได้เปรียบในการต่อสู้ แต่การต่อสู้ในครั้งที่สองมุสลิมกลับเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทำให้เผ่าซะกีฟและเผ่าอื่น ๆ เช่น จากเผ่าฮะวาซินต้องพ่ายแพ้ไปด้วย มุสลิมจึงได้ทรัพย์เชลยมากมายจากสมรภูมิครั้งนั้น
การพ่ายแพ้ของพวกเผ่าซะกีฟในสมรภูมิ �ฮุนัยน์� ถือว่ายังไม่ยุติ ท่านเราะซูล ได้มุ่งหน้าไปยัง �ฏออิฟ� และใช้เวลาปิดล้อมพวกเขาไว้ระยะหนึ่ง ต่อมา ท่าน ได้เดินทางกลับมะดีนะฮ์ เมื่อเผ่าซะกีฟ เห็นว่าผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆได้เข้ารับอิสลามทั้งหมดแล้ว พวกเขาจึงเข้ารับอิสลามเหมือนกับคนอื่น ๆ พวกเขาได้เดินทางมายังเมืองมะดีนะฮ์ ในปีที่ 9 แห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช เพื่อประกาศการเข้ารับอิสลาม (*4*)
เมื่อกลับไปดูแถลงการณ์ 13 ข้อของขบวนการฏอลิบานเมื่อยึดเมืองคาบูล
“ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเอมิเรตส์อิสลามควรดำเนินชีวิตตามปกติโดยเฉพาะหน่วยงานราชการ (ด้านการศึกษา สุขภาพ สังคม และวัฒนธรรม) พวกท่านไม่ควรออกจากพื้นที่นี้คือประเทศของเขา พวกเขาควรดำเนินชีวิตตามปกติเพราะประชาชนและประเทศชาติต้องการบริหารและพัฒนาด้วยความสามาร ถ ของท่าน อัฟกานิสถานเป็นบ้านสำหรับทุกคน และเราจะช้วยกันและสร้างมันไป
พร่อมกัน จะไม่ยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ใด (ไม่ใช่รถยนต์ ที่ดิน บ้าน ตลาด และร้านค้า) แต่ถือว่าการปกป้องเงินและชีวิตของผู้คนเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของเรา จะรับประกันในชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติยศ กำชับทหาร
หรือมูจาฮิดีนของตนจะไม่ให้เข้าไปในบ้านของใครโดยไม่ได้รับอนุญาต (โปรดดู https://al-ain.com/article/afghanistan-taliban-control-map)
#อะไรคือความท้าทายหลังจากนี้ภายใต้รัฐบาลใหม่
ความท้าทายหลังจากนี้สำหรับการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลใหม่มีสองปัจจัยที่จะทำให้รัฐบาลใหม่จะสามารถเดินต่อได้หรือไม่อย่างไร
หนึ่งภายในประเทศ บรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของกลุ่มและการได้มาของรัฐบาลครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผ่านด้วยการต่อสู้ทางอาวุธ ซึ่งฏอลีบานจะใช้สันติวิธี อย่างไรตามที่ประกาศแถลงการณ์(ในเชิงประจักษ์ไม่ใช่ทฤษฎีสวยหรู)โจทย์ใหญ่ คือการให้โอกาสในการมีส่วนร่วม ทางการเมือง ร่วมออกออกแบบประเทศใหม่ รวมทั้งจะต้องไม่บีบคั้น กดขี่ ข่มเหง ทำร้าย ใช้ความรุนแรงและสร้างความหวาดกลัว ให้ประชาชนที่เห็นต่างจากฏอลิบานหรืออาจจะเห็นต่างหลักกฎหมายอิสลามให้มีพื้นที่กลางปลอดภัยที่ได้ถกแถลงทางวิชากการอย่างมีอารยะอันอาจเป็นผลทางตรงและทางอ้อมต่อสันติภาพ อีกประการคือขุนศึกที่ร่วมรบจะรับประกันอย่างไรที่พวกเขาจะสามารถปฏิบัติตามเจตนารมณ์ในแถลงการณ์ เพราะในอดีตเชิงประจักษ์หลังขุนศึกมุญาฮิดีนชนะสหภาพโซเวียตกลับแบ่งสันปันส่วนอำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง
สองปัจจัยภายนอกประเทศ
นโยบายของตะวันตกภายใต้การนำของอเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย ปากีสถาน อินเดียอิหร่าน โลกอาหรับ และขบวนการอิสลาม
ดังนั้นขอให้องค์กรภายนอกโดยเฉพาะมหาอำนาจเลิกแทรกแซงกิจการภายในประเทศอัฟกานิสถาน ด้วยความหวังดี “คำว่าสันติภาพ” ซึ่งตลอด 40 กว่าปีเป็นเวลามากพอแล้วที่ชาวโลกได้พิสูจน์ ปล่อยให้ชาวอัฟกานิสถานแม้จะหลากหลายกลุ่ม และแนวคิดได้ร่วมออกแบบอนาคตของเขาสักครั้ง
สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการนำหลักการอิสลามมาใช้เป็นกฎหมายประเทศซึ่งผู้นำฏอลิบานยืนยันต่อหน้าสื่อหลายครั้งว่าเป็นหลักการอิสลามสายกลางที่ไม่เหมือนกับปกครองประเทศเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
……….
1. อบู อุบัย: บทที่ว่าด้วยเรื่องของ �อัลอัมวาล� (ทรัพย์สิน) เล่ม 1 หน้า 202 ซีเราะฮฺอิบนิ ฮิชาม เล่ม 4 หน้า 32 ในซีเราะฮฺ มีข้อความว่า �พวกท่าน ทั้งหลายจงไปได้แล้ว พวกท่านเป็นผู้มีอิสระเสรี� และดูในตัครีจตุรุก �การระบุถึงสายรายงานฮะดีษและการตรวจสอบสายรายงาน� ที่มาของเรื่องนี้ ของมะฮฺดีย์ ร่อซะกั้ลลอฮฺ อัซซีเราะฮฺ อันนะบะวียะฮฺ หน้า 569 และได้กล่าวไว้หลังจากได้ระบุไว้ในรายงานต่าง ๆ แล้วว่า ฮะดีษนี้มีน้ำหนักเชื่อถือได้ด้วยสายสืบนี้
2.ดูจากซ่อฮีฮุลบุคอรีย์ : บทที่ว่าด้วยเรื่องสงคราม/ภาคพิชิตมักกะฮฺ ฮะดีษที่ 4302 ในหนังสือ อัลฟัตฮฺ อัรร็อบบานีย์ เล่ม 8 หน้า 22
3.
ซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม : ตารีค ค่อลีฟะฮฺ อิบนิ คอยยาฏ หน้า 88 ฏ่อบาก็อต อิบนิ ซะอ์ดิ เล่ม 2 หน้า 154 -155 และดู อัลอุมะรีย์ อัซซีเราะฮฺ อันนะบะวียะฮฺ อัซซอฮีฮะฮฺ เล่ม 2 หน้า 496.
4.สงคราม �ฮุนัยนฺ� และการปิดล้อมฏออิฟไว้ ดู อัลบุคอรีย์ อัลมะฆอซีย์ บทดำรัสของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า :
(( وَيَوْمَ حُنَيْن إِذْ أَعْجَبَتْكُمْ كَثْرَتكُم )) �และในวันแห่งสงคราม �ฮุนัยนฺ� ด้วยขณะที่การมีจำนวนมากของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าชะล่าใจ� หน้า 54 และบทสงคราม อัฏฏออิฟ หน้า 56 ซีเราะฮฺ อิบนุ ฮิชาม เล่ม 4หน้า 65,127 .
หมายเหตุผู้เขียนคัดลอกประวัติศาสตร์การพิชิตมักกะห์ใน
http://xn--www-dkla5b4ewgyc8b.islamore.com/
5,311 total views, 17 views today
More Stories
SEC ภาคใต้กับSEA สงขลา-ปัตตานี
สู่พรบ.สันติภาพ เพื่อประกันกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
ฮัจญ์ไทยในภารกิจทูตสันติภาพใน 3 ภารกิจ จชต.