พฤศจิกายน 26, 2024

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

โซลชา “ผู้ย้ำแค้น”ลิเวอร์พูลFA Cup ทั้งปี 2021และ1999 กับบทเรียนดีๆของเขามาปรับใช้ในชีวิตไม่เพียงแต่โลกฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม

แชร์เลย

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


24 มกราคม 2564 เป็นวันผีแดง “ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ควำ้ลิเวอร์พูล 3-2 ในFA Cup รอบที่ 4 ผู้เขียนแม้ไม่ใช่แฟนทั้งสองทีมก็ต้องมาดูไฮไลต์มันๆในวันรุ่งขึ้นของวันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564/2021 ก่อนไปทำงานที่โรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นผู้คว้าชัยชนะในศึกแดงเดือดเวอร์ชั่น เอฟเอ คัพ หลังเปิดรังเฉือน ลิเวอร์พูล สุดมันส์ 3-2 แม้เกมนี้ลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อาจจะไม่ได้มีเกมรับที่เหนียวแน่นเหมือนกับแดงเดือดครั้งก่อน แต่เกมรุกของพวกเขาทำลายแนวรับ ลิเวอร์พูล แบบเละเทะ และยังมาได้ประตูชัยจากลูกฟรีคิกของทีเด็ดตัวสำรอง
“บรูโน เฟอร์นันเดส “
ยำ้ แค้น”ลิเวอร์พูลFA Cup ปี1999 ที่โซลชาเป็นผู้เล่น
ส่วนรายละเอียดของเกมส์ ไทยรัฐได้รายงานว่า
“แมนยูฯ ออกสตาร์ตเกมนี้ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ได้ลุ้นก่อนถึง 2 จังหวะจากการยิงของ เมสัน กรีนวูด ครั้งแรกยิงไปติดเซฟ อลิสสัน ครั้งที่สองหลุดเสาแรก จริงๆ จังหวะแรกถ้าจ่ายให้ ฟาน เดอ เบค ที่วิ่งเติมขึ้นมาก็อาจจะได้ประตูไปแล้ว จากนั้นนาทีที่ 18 กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ออกนำก่อน 1-0 แบบง่ายๆ เลย เมื่อ โรแบร์โต เฟอร์มิโน จ่ายบอลทะลุไปให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าเขตโทษก่อนชิพบอลข้ามตัว ดีน เฮนเดอร์สัน เข้าไป แต่ทว่านาทีที่ 26 แมนยูฯ ตีเสมอ 1-1 เมื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด เปิดบอลยาวจากฝั่งซ้ายไปฝั่งขวาให้ เมสัน กรีนวูด หลุดไปยิงตุงตาข่าย จากนั้นแมนยูฯ ครองเกมไว้ได้หมดก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 1-1 ต่อกันที่ครึ่งหลัง เริ่มมาแค่ 3 นาที แมนยูฯ ขึ้นนำ 2-1 เมื่อ เมสัน กรีนวูด จ่ายบอลขึ้นมาทางซ้าย รีส วิลเลียมส์ กองหลังดาวรุ่งหงส์แดงสกัดบอลวืด เลยมาถึง แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปยิงตุงตาข่าย เกมเปิดแลกกันเดือด นาทีที่ 58 ลิเวอร์พูล ตีเสมอ 2-2 จากจังหวะที่ เจมส์ มิลเนอร์ ตัดบอลได้ในแดนของยูไนเต็ดก่อนจ่ายต่อให้ เฟอร์มิโน ผ่านบอลเข้ากลาง มิลเนอร์ ข้ามหลอกให้ ซาลาห์ ยิงเข้าไป พอตีเสมอได้สำเร็จ ลิเวอร์พูล ลุยใส่อย่างหนักเพื่อหวังเอาประตูเพิ่ม แต่การยิงของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์อาร์โนลด์ กับ ซาลาห์ โดน ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟไว้ได้ทั้งหมด กระทั่งนาทีที่ 77 แมนยูฯ มาได้ฟรีคิกหน้าเขตโทษ และเป็น บรูโน เฟอร์นันเดส ปั่นเข้าไปตุงตาข่าย พาปิศาจแดงคว้าชัย 3-2 ไปในที่สุด ตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมได้สำเร็จ ไปเจอกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด”
# สถิติ ปี1999 กับ 2021
1.
ลิเวอร์ยิงนำแต่สุดท้าย แมนยูไนเต็ดชนะ
ในปี 1990 ทั้งคู่พบกันในเกมส์ FA Cup นั้นไมเคิ้ล โอเวน ยิงนำ 1-0 ให้ลิเวอร์พูลตั้งแต่ต้นเกมส์ของครึ่งแรก ในขณะที่ ปี 2021 มุฮัมมัด ซอลาห์หรือคนคนอังกฤษและไทยเรียกเขาโม ซาล่าห์ก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลนำ1-0 ในครึ่งแรกเช่นกัน สุดท้าย แมนยูไนเต็ดชนะ2-1 ในปี 1990 และแมนเชสเตอร์ยูไนเตด ก็ชนะ3-2 (ชนะหนึ่งลูกเท่ากัน)ในปี2021
2.ผู้ยิงประตูตัดสินชัยชนะมาจากนักเตะสำรองเหมือนกัน
ในปี 1990 โซลชา
เขาถูกส่งลงสนามในนาที 81 ก่อนจะกลายเป็นคนยิงประตูชัยให้ ปีศาจแดง พลิกแซงชนะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 2-1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ส่วนในปี2021 บรูโน เฟอร์นันเดส มานั่งสำรองถูกส่งมา ยิงประตูชัย 3-2 ในนาทีที่77
3.
โซลชา “ผู้ย้ำแค้น”ลิเวอร์พูลFA Cup ทั้งปี 2021และ1999
กล่าวคือโซลชา “เป็นผู้ย้ำแค้น”ลิเวอร์พูลFA Cup ทั้งปี 2021ในนามผู้จัดการทีมส่วนปี1999 ในตำแหน่งผู้เล่น
#โซลชา ไม่ธรรมดาก่อนจะมีวันนี้ และทุกคนสามารถนำ เขามาเป็นบทเรียน
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1973 ที่เมือง คริสเตียนซุนด์ ประเทศนอร์เวย์ ในปี 1995 โดย โซลชา ในวัย 22 ปี สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง จนถูกเรียกตัวติด ทีมชาตินอร์เวย์ ชุดใหญ่ และได้รับฉายาว่า “อลัน เชียร์เรอร์ แห่งนอร์เวย์” พร้อมทั้งกลายเป็นที่จับจ้องของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป

กระทั่งกลางปี 1996 หลังจากที่เขาลงสนามให้ โมลด์ ไป 45 นัด และซัดไปถึง 33 ประตู เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลานั้น ก็ไม่รอช้า จัดการคว้าตัวเด็กหนุ่ม วัย 23 ปี รายนี้ ไปร่วมทีมทันที ด้วยมูลค่า 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่ง โอเล่ ก็ไม่ทำให้ นายใหญ่ชาวสกอตต์ ต้องผิดหวัง เมื่อสามารถระเบิดฟอร์มเก่งได้ตั้งแต่ซีซั่นแรกในสีเสื้อ ยูไนเต็ด หลังซัดไปถึง 19 ประตู จากการลงสนาม 46 นัดรวมทุกรายการ ครองตำแหน่ง ดาวซัลโวของทีม พร้อมพาต้นสังกัดคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1996/97 ได้สำเร็จ

จากผลงานอันสุดยอดของเขา ส่งผลให้ โซลชา กลายเป็นขวัญใจของเหล่าบรรดา เร้ด อาร์มี่ อย่างรวดเร็ว พร้อมกับได้รับฉายาว่า “เพชฌฆาตหน้าทารก”
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของโอเล่ ไม่ได้ถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอด เมื่อซีซั่นต่อมา เขากลับไม่สามารถรักษาฟอร์มเก่งเอาไว้ได้เหมือนกับปีแรก โดยยิงได้เพียง 9 ประตูเท่านั้น จากการลงเล่น 30 นัดในทุกรายการ ตลอดฤดูกาล 1997/98
ซึ่งนั่นทำให้ เฟอร์กี้ ต้องตัดสินใจ ควักเงินมูลค่าถึง 12 ล้านปอนด์ เพื่อกระชากตัว ดไวท์ ยอร์ค มาร่วมทีม เพื่อช่วยผลิตสกอร์ ในซีซั่น 1998/99 ส่งผลให้มีข่าวลือออกมาอย่างหนาหูว่า โซลชา อาจจะต้องเตรียมเก็บข้าวของออกจาก โรงละครแห่งความฝัน เสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ดาวยิงชาวนอร์เวย์ ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และเลือกที่จะต่อสู้ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่อไป แม้ว่าจะต้องเสียตำแหน่งตัวจริงไปให้กับหัวหอกคนใหม่ และต้องรับบทเป็นเพียงตัวสำรองของทีมอย่างต่อเนื่อง
แต่ใครจะเชื่อว่า สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจในครั้งนั้นของ โซลชา กลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และคุ้มค่าจนน่าเหลือเชื่อ โอเล่ ไม่เคยปริปากบ่นกับบทบาท “ตัวสำรอง” ที่เขาได้รับ ในทางกลับกัน โดยเขายังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ทุกครั้งที่ได้รับโอกาสลงสนาม แม้จะมีเวลาให้เขาโชว์ฟอร์มเพียงน้อยนิดในแต่ละเกมก็ตาม จนสุดท้ายความพยายามของเขา ก็เริ่มเป็นผล เมื่อเขาสามารถลงสนามไปยิงประตูได้บ่อยครั้ง ในฐานะตัวสำรอง ซึ่ง เหตุการณ์นี้ก็คล้ายกับสถานการณ์ของพอล ป๊อกบา ที่ฟอร์มหลุดไปมากจนมีข่าวลือว่า เขาไม่มีความสุขที่แมนเชสเตอร์ยูไนเตด จนโซลชาในตำแหน่งผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ฯ ให้กำลังใจ ให้โอกาสป๊อกบาจนในที่สุดพอล ป๊อกบาระเบิดฟอร์มนำแมนเชสเตอร์ยูไนเตดขึ้นจ่าฝูง ณ ตอนนี้
หลังจากแขวนสตั๊ด โซลชา ก็เริ่มต้นเส้นทางการเป็นกุนซือทันที โดยเขาเริ่มจากการเป็น โค้ชกองหน้า ให้กับ ปีศาจแดง ในซีซั่น 2007/08 ก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุด U23 ในฤดูกาล 2008/09 ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ได้อย่างมากมาย อาทิ พรีเมียร์ลีก สำรอง 1 สมัย, แชมป์ พรีเมียร์ลีก สำรอง ตอนเหนือ 1 สมัย, แชมป์ แลนคาเชียร์ ซีเนียร์ คัพ 1 สมัย และแชมป์ แมนเชสเตอร์ ซีเนียร์ คัพ อีก 1 สมัย
จากผลงานอันยอดเยี่ยม ทำให้ในช่วงต้นปี 2011 เขาได้รับงานคุมทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ด้วยการรับหน้าที่เป็น ผู้จัดการทีม ให้กับ อดีตต้นสังกัดอย่าง โมลด์ สโมสรในลีกบ้านเกิดของเขา โดยทำยังคงสามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัย พร้อมทั้งแชมป์ นอร์เวย์ คัพ อีก 1 สมัย
กระทั่ง ต้นปี 2014 โซลชา เข้ารับเผือกร้อน จากการย้ายไปคุมทีม คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ทีมในศึกพรีเมียร์ลีกในเวลานั้น พร้อมกับภารกิจอันหนักอึ้ง คือ การต้องช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาล 2013/14 ให้ได้ ทว่าสุดท้ายเขาก็ทำไม่สำเร็จ หลังพาทีมชนะ 3 เสมอ 3 และแพ้ไปถึง 12 เกม ส่งผลให้ต้องตกชั้น ด้วยการเป็นทีมบ๊วยของตาราง จากนั้น หลัง คาร์ดิฟฟ์ หล่นลงไปเล่นในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในซีซั่นต่อมา ผลงานของพวกเขาก็ยังคงไม่ดีนัก ทำให้ โอเล่ ถูกปลดออกจากเก้าอี้กุนซือ ในเดือนกันยายน 2014

ราวหนึ่งปีต่อมา ในเดือนตุลาคม 2015 โซลชา ได้กลับไปเป็นนายใหญ่ให้กับ โมลด์ อีกครั้ง ก่อนพาทีมคว้าอันดับ 6 ก่อนที่ปี 2016 จะพาทีมจบในอันดับ 5 โดย โซลชา ทำให้ทีมกลับมาทำผลงานได้ดีขึ้นตามลำดับ จน โมลด์ ขยับขึ้นไปเป็น รองแชมป์ 2 สมัยติด ในปี 2017 และ 2018 (ลีกนอร์เวย์ เปิด-ปิดฤดูกาล ตามปีปฏิทิน)

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนในอาชีพกุนซือของเขา ได้เกิดขึ้นในวันที่ 19 ธันวาคม 2018 เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแต่งตั้งให้ โอเล่ เข้ารับตำแหน่ง รักษาการณ์ผู้จัดการทีม หรือ ผู้จัดการทีม แบบชั่วคราว แทนที่ของ โจเซ่ มูรินโญ่ หลังจาก เฮดโค้ชชาวโปรตุกีส พาทีมบุกไปพ่าย ลิเวอร์พูล แบบหมดรูป 1-3 ในศึกแดงเดือด
จากนั้น สิ่งที่ไม่น่าเชื่อเชื่อก็เกิดขึ้นในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อ โซลชา สามารถปลุกใจให้นักเตะกลับมาเล่นด้วยความมุ่งมั่นและฮึกเหิม จนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเกินความคาดหมาย “ผีแดง” ทำแต้มแซง “หงส์แดง” ผงาดขึ้นเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก(อังคารที่ 12 มกราคม
2564)
และควำ้ลิเวอร์พูล 3-2 ในFA Cup รอบที่ 4 เมื่อ 24 มกราคม 2564
กล่าวโดยสรุป ก่อนจะถึงวันนี้โซลชา ไม่ธรรมดา หวังว่าทุกคนจะนำบทเรียนดีๆของเขามาปรับใช้ในชีวิตไม่เพียงแต่โลกฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม

(เรียบเรียงส่วนหนึ่งจาก https://sport.trueid.net/detail/mbRNOzyXOzeb)

 5,535 total views,  2 views today

You may have missed