อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
(19 กรกฎาคม 2563 ) สวนดุสิตโพล สำรวจประชาชนเรื่องความวิตกโควิดระลอกใหม่ ส่วนใหญ่กังวลมาก กรณีทหารอียิปต์ ไม่ควรให้ต่างชาติเข้าไทย หวั่น เกิดระบาดอีกรอบ อันจะนำไปสู่ล็อกดาวน์ซ้ำ ส่งผลกระทบประชาชนตกงาน เศรษฐกิจทรุด ในขณะเดียวกันทำให้ม็อบนักศึกษาสามารถอ้างให้รัฐบาลประยุทธ์รับผิดชอบมากกว่าขอโทษ
“เยาวชนปลดแอก – Free YOUTH” ให้ทัศนะว่า
“เมื่อเกิดวิกฤตการ แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินและออกมาตรการ Lockdown ส่งผลให้มีคนตกงานและขาดรายได้เป็นจํานวนมาก แต่รัฐบาลก็มิได้เยียวยา อย่างถ้วนหน้าและทั่วถึง มิหนําซำ้ยังปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจโดย ที่ไม่แยแสแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ปล่อยปละละเลยให้แขก VIP ที่มีเชื้อไวรัสเข้ามาในประเทศโดยที่ไม่ได้กักตัวซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อโอกาสที่จะมีการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ รอบ 2
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจไว้วางใจให้รัฐบาลชุดนี้บริหารบ้านเมืองต่อไปได้ จึงขอยื่นคํา ขาดว่า นายกรัฐมนตรีต้องประกาศ “ยุบสภา” เพื่อคืนอํานาจให้ประชาชนและเปิดทาง ให้คนที่มีความรู้ความสามารถมาแก้ไขปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ”
ถ้าจำไม่ผิดโควิดครั้งที่ผ่านมาก็จากสนามมวยทั้งที่มีการท้วงติงว่าห้ามจัดแต่คนในเครื่องแบบก็ยังจัด ครั้งนี้ก็เหมือนกันใครอนุญาตให้เข้า เขาฝ่ากฎเราเองนี่ฟังไม่ขึ้น ประกาศให้ประชาชนยำ้แล้วยำ้อีกว่าอย่าการ์ดตก แต่คนของรัฐการ์ดตกเสียเอง สรุปทั้งสองมาจากคนของรัฐไม่กี่คน(แต่เป็นผู้ใหญ่)
สำหรับรัฐบาลอียิปต์และซูดานก็เช่นกันต้องมีมากกว่าหนังสือจากกระทรวงต่างประเทศเขาใช้คำว่าเสียใจ/ขอโทษ เพราะเป็นคนของรัฐเขา ไทยได้รับผลกระทบถ้วนหน้าไม่ว่าเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและอื่นๆที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ทั้งๆที่คนไทยพึ่งฟื้นตัว กิจกรรมต่างๆทางการศึกษา สังคมและเศรษฐกิจพึ่งจะเริ่มขยับความมั่นใจของนานาชาติที่มีต่อไทยอันลือลัน อาจหายไปเพราะเหตุการณ์นี้
ซึ่งในหลักการอิสลามเรียกว่า “Hakuladamحق ادم )ซึ่งผู้ทำความเสียหายจะต้องรับผิดชอบ ยิ่งเรื่องประเด็นสาธารณะผู้เขียนก็ไม่สามารถยกโทษได้คนเดียว
จากพฤติกรรมคนของรัฐอียิปต์และซูดานในวงการวิชาการมองว่า “จึงไม่แปลกที่สถาการณ์โควิดในประเทศทั้งสองจึงมียอดพุ่งโดยเฉพาะพฤติกรรมส่วนตัวของทหารอียิปต์ซึ่งใครๆก็รู้เป็นอภิสิทธิ์ชนมากๆในรัฐทหารอียิปต์มายาวนานตามประวัติการเมืองการปกครองอียิปต์” เมื่อเป็นพฤติกรรมส่วนตัวของทหารเพียงคนเดียวผิดทั้งหลักการอิสลามและบ้านเมืองรัฐบาลอียิปต์ก็ต้องจัดการไม่ปกป้อง
ในอดีตปฏิเสธไม่ได้ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย โดยเฉพาะวงการศึกษาที่ให้ทุนกับเด็กมุสลิมไทยมานับสามสิบสี่สิบปีเเต่เป็นคนละประเด็นต้องแยกแยะ
หมอกษิดิษ ศรีสง่า อดีตนักศึกษาไทย ในอียิปต์ให้ทัศนะว่า “สำหรับกระทรวงต่างประเทศจะต้อง “กล้า” ที่จะออกมาบอกความจริงว่า รัฐบาลเคยได้ส่งจดหมายไปหาสถานฑูตต่างๆว่าอย่างไร บอกเขาหรือเปล่าว่า”ให้มากักตัวแบบไหน” self quarantine คือกักตัวที่บ้าน หรือ state quarantine คือกักตัวที่ สถานที่ของรัฐ
ไม่มีฑูตที่ไหนในโลกจะพยายามทำผิดกฏ แหกกฎใดๆง่ายๆหรอก เพราะถ้าเขาทำผิดกฏโดยไม่มีเหตุผล เขาก็ต้องถูกสอบสวนที่บ้านเขา ความก้าวหน้าทางการงานจะหายไป มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ซ่อนอยู่
ถ้าเราบอกว่าให้เขา self quarantine คือกักตัวที่บ้าน เขาก็ย่อมมีสิทธิที่จะกักตัวที่บ้านที่เขาอยู่ หรือบ้านที่สถานฑูตจัดให้ แต่ปัจจุบันนี้มันไม่ใช่ “บ้าน” ส่วนมากมันเป็น “คอนโด”
ดังนั้นที่เขาไปคอนโดที่เขาเคยอยู่จึงไม่ผิด เพราะเขาทำตามกฏที่รัฐวางเอาไว้
และที่นิติของคอนโดขัดขวาง ก็”ไม่ผิด” เพราะเขาทำตามความเข้าใจที่รัฐประกาศว่าจะให้ทุกๆคน “state quarantine” ทั้งหมด
ปัญหาเกิดขึ้นจาก ศบค. ประกาศออกมา โดยที่ความเข้าใจของประชาชนนั้นคือ มันจะเกิดขึ้นทันที่ที่คำพูดหลุดออกจากปาก
แต่ในความจริง กว่าสิ่งที่พูดจะไปถึงผู้ปฏิบัติงาน กว่าจะร่างหนังสือ กว่าจะยืนยัน เซ็นชื่อ พวกนี้ใช้เวลาทั้งนั้น
สิ่งนี้ภาษาทางบริหารเราเรียกว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่าน”
ซึ่งในระบบเอกชนจะใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ราชการจะเป็นวัน หรือหลายวัน
และระหว่างนี้โลกก็หมุนไปเรื่อยๆ คนก็เข้าประเทศไทยอยู่ตลอด เขาก็มาตามความเข้าใจตามลายลักษณ์อักษรที่เราได้สัญญากับเขาไว้
แต่คนไทยไม่รู้ตรงนั้น เรายึดตาม”คำพูด”ที่คนของรัฐบอกแก่เรา
ซึ่งมันเร็วกว่ามาก แต่ไม่แน่นอน
ปัญหามันจึงเกิด เพราะแต่ละฝ่ายยึดกันคนละหลัก
ปัญหาจะไม่เกิดถ้ารัฐระวังตรงนี้คิดถึงตรงนี้แต่แรก ให้ทุกๆอย่างเรียบร้อยค่อยมาบอก
อย่ารีบบอกก่อน เพราะระบบราชการจะตามไม่ทัน
มันจะเกิดความเสียหาย และความเสียหายอาจจะเป็นในระดับประเทศ
เราเป็นประเทศเล็กๆ ความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอื่นๆเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นความเป็นความตายขอวประเทศเรา
ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลย กับการพยายามทำอะไร ให้เร็วขึ้นวันสองวัน เพื่อจะเอาใจประชาชนกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำได้
ความเสียหายที่เกิดขึ้นมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ส่ายหัวให้กับการบริหารแบบเด็กเล่นของรัฐเราในครั้งนี้
เวลามีปัญหารุมเร้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ใจต้องนิ่ง” อย่าให้สถานการณ์ผลักดันเราให้ทำอะไรต่ออะไรแบบมั่วๆ จะต้องกล้ายืนหยัดอย่างมั่นใจ ในเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสมเสมอ”
รัฐบาลประยุทธ์ต้องประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวเยาวชนนักศึกษาให้ดีให้ดูที่เนื้อหาและอย่า พยายาม IO ด้อยค่าพวกเขาว่ามีใครเบื้องหลัง หรือใช้วาทกรรมล้มเจ้า และตัวแพร่เชื้อโควิดอันเนื่องมาจากการชุมนุม
สำหรับเนื้อหาอีกสองข้อ คือข้อ
2. “หยุดคุกคามประชาชน” ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2552 เราต่างก็ หวังกันว่าประเทศไทยจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ประชาชนจะมีเสรีภาพในการ แสดงออก และเสรีภาพในการชุมนุมโดยที่ไม่ถูกคุกคามและยัดข้อกล่าวหาหรือคดีความ แต่ความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่การคุกคามทั้งทางกายภาพและทางจิตวิทยา ยังคงดําเนินต่อไปแทบไม่ต่างจากเมื่อสมัยที่ คสช.ยังมีอํานาจอยู่ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราถูกยัดคดีไปทีละคน ทีละคน มีการอ้างความมั่นคงเพื่อปิดปาก ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรม ดังนั้นเราจึงขอเรียกร้อง ให้หยุดคุกคามประชาชน ทั้งทางกายภาพ ทางจิตวิทยาตลอดจนการยัดข้อหาเพื่อ ดําเนินคดีรวมไปถึงให้รัฐสภายกเลิกกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและ เสรีภาพในการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย
ข้อ
3. “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” เรามีรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสืบทอดอํานาจของรัฐบาล เผด็จการ โดยแรกเริ่มเดิมทีก็มีที่มาที่ไม่ชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว เพราะ คณะผู้ร่างไม่ได้มีความยึดโยงกับประชาชน ผู้ที่รณรงค์ให้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในการ ลงประชามติก็ถูกคุกคามและยัดข้อหากันไปหลายคน เนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็เป็นไป เพื่อรักษาระบอบเผด็จการในคราบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น
– ส.ว. 250 เสียงยกมือโหวตให้หัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อสืบทอด อํานาจ
– องค์กรอิสระ และศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกําจัดประชาชนและนักการเมืองที่เห็น ต่างจากผู้มีอํานาจทั้งที่พูดถึงได้และพูดถึงไม่ได้
– ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมและบัตรใบเดียวที่บิดเบือนเจตจํานงของ ประชาชน และทําให้เกิดรัฐบาลที่ไม่เข้มแข็ง ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหา ประเทศได้ รวมไปถึงการผุดของงูเห่าหรือผู้แทนราษฎรที่ทรยศต่อประชาชน
– นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมอื่นๆ อีกที่เป็นต้นตอปัญหาที่เรื้อรังมาเป็น เวลายาวนาน
กล่าวโดยสรุป ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยกติกา ที่ไม่เป็น ธรรม แม้จะมีการเลือกตั้ง 1 ปีผ่านไป วังวนการประท้วง ในเมืองไทยต้องเกิดขึ้นแน่และกำลังลุกลามในรั้วมหาวิทยาลัยและอาจจะโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ ดังที่นักวิเคราะห์การเมืองไทยและเทศเคยวิเคราะห์มาช่วงเลือกตั้งๆใหม่เมื่อ ปี 62 หรือการประท้วงที่ชายแดนภาคใต้ของ
นักศึกษา ม.อ.ปัตตานี นำประเด็นข้อเรียกร้องให้นับหนึ่ง “จะนะเมืองอุตสาหกรรม” พร้อมเรียกร้องรัฐบาลยุบสภา (โปรดดูhttp://spmcnews.com/?p=32075)
ในขณะที่ความท้าทายว่าจะมีกองหนุน “เยาวชนปลดแอก – Free YOUTH”และเครือข่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่ คือ IO ที่พยายามป้ายสีเด็กเหล่านี้ว่าล้มสถาบัน หรือชายแดนภาคใต้ที่มอ.ปัตตานีเรื่องแบ่งแยกดินแดน
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้อาจมีบางคนในจำนวนนักศึกษาชูป้ายที่อาจถูกตีความในข้อหาดังกล่าว
ดังนั้นพวกเขาจะฝ่าฟันได้หรือไม่ อยู่ที่พวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เมืองไทย มีสองกลุ่มจริงๆ ที่ยังไงๆ ก็เอาประยุทธ์กับไม่เอาประยุทธ์
971 total views, 4 views today
More Stories
SEC ภาคใต้กับSEA สงขลา-ปัตตานี
สู่พรบ.สันติภาพ เพื่อประกันกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
ฮัจญ์ไทยในภารกิจทูตสันติภาพใน 3 ภารกิจ จชต.