อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) Shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
(เก็บตกจากเฟสบุ๊คอ. ปราโมทย์ ศรีอุทัยเพื่อตอบโจทย์นี้)
ขอเตือนสติสักหน่อย ผมว่ามุสลิมเราไม่ควรจะทำตัวแบบกบอยู่ในกะลาครอบ ไม่ยอมรับรู้สิ่งใดในสังคมรอบตัว .. ไม่ยอมรับรู้แม้กระทั่งความอคติของพี่น้องร่วมชาติ – บางคน – (ขอย้ำว่าบางคนและเป็นส่วนน้อย) ที่ถือศาสนาอื่น ซึ่งขณะนี้กำลังแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงพฤติการณ์มุ่งร้ายหมายขวัญ, บิดเบือนและใส่ร้ายศาสนาอิสลามของเราอย่างรุนแรง …
ผมไม่ต้องการให้มุสลิมเราใช้วิธีการก้าวร้าวหรือรุนแรงตอบโต้พวกเขา แต่ต้องการให้พวกเราชี้แจง “ข้อเท็จจริงของอิสลาม” และโต้แย้งต่อพวกเขาอย่างสุภาพ, .. ดังคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ในซูเราะฮ์ อัน-นะห์ล์ อายะฮ์ที่ 125 …
สิ่งที่ผมอยากจะชี้แจงและทำความเข้าใจกับพี่น้องร่วมชาติที่เป็นชาวพุทธทุกท่าน ณ ที่นี้มี 3 ประการคือ …
ประการแรก มุสลิมจริงๆไม่ว่าอยู่ในประเทศไทยหรือที่ใด .. มิได้ชั่วร้าย, เห็นแก่ตัว, กระหายเลือด อย่างที่บุคคลกลุ่มนั้นเข้าใจ ตรงกันข้าม คำสอนอิสลามที่แท้จริงสอนให้รักสงบ, ใฝ่สันติ, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใด และไม่ควรตอบโต้ความชั่วด้วยความชั่ว …
สงครามทั้งหลายแหล่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ล้วนถูกบันทึกไว้ว่า มุสลิมไม่ใช่ผู้รุกราน ทว่า แทบทุกครั้งมุสลิมล้วนตกอยู่ในสภาพ “ป้องกันตัว” ทั้งสิ้น …
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงดำรัสไว้ในอัล-กุรฺอาน ซูเราะอัล-บะกอเราะฮ์ อายะฮ์ที่ 190 มีความหมายว่า …
“พวกเจ้าจงต่อสู้ในวิถีแห่งอัลลอฮ์กับบรรดาผู้ที่มาต่อสู้(คือรุกราน)พวกเจ้า และพวกเจ้าจงอย่าล่วงละเมิด (คือรุกรานพวกเขาก่อน) แน่แท้ อัลลอฮ์จะไม่ทรงรักใคร่บรรดาผู้ล่วงละเมิดทั้งหลาย” …
ประการที่สอง พวกเรา – ชาวไทยมุสลิม – มิใช่เป็น “กาฝาก” มาพลอยอาศัยประเทศไทยอยู่อย่างที่บุคคลกลุ่มนั้นเข้าใจและกล่าวหา ตรงกันข้าม พวกเราล้วนมีเชื้อชาติไทย (หลากหลายเช่นมลายู มอญ จีน แขก ชาวเขาเผ่าต่าง อีสานลาว ฝรั่ง อาหรับ นิโกรแต่ปัจจุบันก็มีการผสมข้ามเชื้อชาติเผ่าพันธุ์จนหาบริสุทธิ์ยาก)สัญชาติไทย เหมือนพวกเขา .. จึงมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยนี้อย่างมีศักดิ์ศรี, ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน เหมือนพวกเขาทุกประการ …
ประการที่สาม ในเรื่องของศาสนา (ขออภัยที่ต้องพูดความจริงเรื่องนี้เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของบางคนในกลุ่มพวกเขา) – หากพวกเขากล้ารับความจริง – ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านมิได้มีเชื้อชาติไทย, สัญชาติไทย เฉกเช่นสิ่งที่พวกเขาและพวกเรามีและเป็นอยู่ขณะนี้ ..
ทว่า พระองค์ท่านเป็นชาวชมพูทวีป (อินเดีย-เนปาล ) .. ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงมิใช่ชาวไทยอย่างที่พวกเขาบางคนเข้าใจ หรือหลายคนหลงเข้าใจอย่างนั้น …
เหมือนกับท่านนบีย์มุหัมมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม ก็มิได้มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทยเช่นเดียวกัน .. ทว่า ท่านเป็นชาวอาหรับ ดังเป็นที่ทราบกันดี …
ดังนั้น ในเรื่องของศาสนา .. คนไทยทุกคนอาศัยที่อยู่ในประเทศไทยขณะนี้, และมีเชื้อชาติไทย(หลากหลาย), สัญชาติไทย .. ไม่ว่าเขาจะเป็นไทยพุทธ, ไทยมุสลิม, ไทยคริสต์, ไทยซิกส์ ฯลฯ จึงล้วน “รับเอา” ศาสนามาจาก “ต่างชาติ” ทั้งสิ้น …
ส่วนใครจะรับเอาศาสนาใด,, จากศาสดาท่านใด ก็เป็นเรื่องความศรัทธาและความดำริชอบอันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่ไม่สามารถบังคับกันได้ …
ท่านจะปฏิเสธความจริงข้อนี้หรือ ? …
อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาเกี่ยวกับโรคโควิด .. มุสลิมเราในประเทศไทยโดยรวม ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดูแคลนจากพี่น้องร่วมชาติที่นับถือศาสนาอื่นเพราะการกระทำของ(บางคน)กลุ่มญะมาอะฮ์ตับลีคหรือดะอฺวะฮ์มาพอแรงแล้ว ผมจึงไม่อยากเห็นสิ่งนี้หวนกลับเพราะการกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเราบางคน อันจะกลายเป็นการ “เข้าทางปืน” ของกลุ่มชนที่อคติต่ออิสลามกลุ่มนี้อีก …
ดังนั้นผู้เขียนคิดว่า
“มุสลิมในบริบทประเทศไทยช่วงโควิดก็ต้องเข้าใจหลักการอิสลามอย่าใช้ความรู้สึกระหว่างภาวะปกติกับไม่ปกติโดยไม่สนใจกฎกติกามารยาททางบ้านเมืองและสังคมอันอาจส่งผลร้ายในกระเเสเหมารวมของต่างศาสนิก “
#จงเริ่มที่ตัวเรา
(หมายเหตุภาพประกอบไม่เกี่ยว)
957 total views, 2 views today
More Stories
SEC ภาคใต้กับSEA สงขลา-ปัตตานี
สู่พรบ.สันติภาพ เพื่อประกันกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้
ฮัจญ์ไทยในภารกิจทูตสันติภาพใน 3 ภารกิจ จชต.