ประเด็นร้อน

การจัดการศพ Covid-19 จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ :ที่ชายแดนใต้

แชร์เลย

อาจารย์ซอและห์ ตาเละ..

การเสียชีวิตของพี่น้องยูซุฟ บิน อาลี (แบโซะ ร้านลีบาซูนา)ในวันนี้ ( 01.56 ของวันที่ 29 / 3 / 2020 ) ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลานับเป็นการเสียชีวิตรายที่ 8 ของประเทศไทยที่เสียชีวิตจากสาเหตุของการแพร่ระบาดของ โควิด 19 และเป็นรายที่ 2 ของพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย หลังจากที่เมือวันที่ 27 /3 / 2020 มุสลิมรายแรกได้เสียชีวิตที่อำเภอสุไหงโกลค
เช้าวันนี้ประมาณ 9.30 ได้ไปร่วมละหมาดญานาซะห์ฆออิบที่กูโบร์ซอยสิโรรส 5 ตลาดเก่ายะลา พร้อมๆกับญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทไม่กี่คน หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและผู้ดูแลจัดการกูโบร์ และญาติๆประมาณ 7 คนได้จัดการฝังญานาซะห์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การละหมาดฆออิบนี้ นับเป็นการละหมาดครั้งที่ 2 เพราะการละหมาดขณะที่มีญานาซะห์อยู่ ได้กระทำแล้วที่โรงพยาบาล โดยญาติๆที่ได้รับการอนุญาตจากทางโรงพยาบาลไม่กี่คน ให้เข้าไปทำตะยัมมุมหลังจากทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ดำเนินการบรรจุถุงพลาสติกป้องกันเชื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ทางสำนักจุฬาฯได้ประกาศให้เป็นแนวทางปฏิบัติ และเป็นวิธีการเดียวกันที่ JAKIM ( Jabatan Kemajuan Islam สำนักงานพัฒนาการอิสลาม ) ภายใต้กระทรวงประจำสำนักนายกฯ มาเลเซีย ได้ประกาศเป็นแนวทางปฏิบัติในมาเลเซียเช่นกัน

หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลได้นำรถลำเลียงญานาซะห์ ( ศพ ) ไปส่งที่กูโบร์ซอยสิโรรส 5 ตลาดเก่ายะลา การจัดการญานาซะห์ทั้งหมดทางญาติและเจ้าหน้าที่พยายามปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่จะรักษาหลักการและความปลอดภัยให้มากที่สุด โดยบุคคลที่จัดการอย่างใกล้ชิดต้องสวมทั้งเสื้อพลาสติกคลุม ถุงมือและหน้ากากอนามัย ส่วนศพได้ถูกบรรจุถุงพลาสติกกั้นเชื้อ 2 ชั้น ไม่มีการแกะ หรือทำให้ขาดอย่างเด็ดขาด การละหมาดญานาซะห์ทุกคนที่ร่วมละหมาดสวมหน้ากากอนามัย และยืนห่างกันเกือบ 2 เมตร และให้บรรดาญาติใกล้ชิดและเพื่อนสนิททยอยกันมาละหมาด เพื่อไม่ให้เกิดการรวมตัวจำนวนมาก
อัลฮัมดุลิลละห์ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี เป็นอีกบทเรียนหนึ่ง ที่สังคมมุสลิมเราได้ประสบพบและต้องปรับวิธีการ จากที่เคยปฏิบัติมาในยามปกติ นีคือความกว้าง การยืดหยุ่น ความเหมาะสมของคำสอนอิสลามที่จะปฏิบัติใช้ได้ในทุกยุคสมัยและทุกสถานการณ์