พฤศจิกายน 26, 2024

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

ศอ.บต.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันฟื้นฟูการเดินรถไฟเส้นทางจากสุไหงโกลก จ.นราธิวาส สู่ประเทศมาเลเซียเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและพัฒนาเศรษฐกิจ

แชร์เลย

­­รพี มามะ บรรณาธิการข่าว…

(18 เมษายน 2562 เวลา 14.00 น.) ที่จะบังติกอ โรงแรมซีเอส ปัตตานี  พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธาน การประชุมฟื้นฟูการเดินรถไฟเส้นทางจากสุไหงโกลก – รันเตาปันยัง – ปาเสมัส– ตุมปัต โดยมี Mr.Mohd Afandi bin Abu Bakar กงสุลใหญ่มาเลเซีย ประจำจังหวัดสงขลา  นายมลคล สินสมบูรณ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ผู้แทนหน่วยงานด้านการรถไฟ ผู้แทนกระทรวงคมนาคมของประเทศมาเลเซีย ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ดังที่ทุกท่านทราบโดยทั่วกันว่า “ประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย” มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาอย่างยาวนานในทุกมิติความร่วมมือการพัฒนา ประชาชนของทั้งสองประเทศล้วนไปมาหาสู่กันอย่างญาติมิตรสหาย-ครอบครัวเดียวกัน ในขณะที่บทบาทของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ก็มีความใกล้ชิดและเด่นชัดมากที่สุดในปีปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากคำแถลงผลประชุมร่วมกันระหว่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ประเทศไทย และ ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับรัฐมนตรีของมาเลเซีย ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24 – 25 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้มีพลวัตครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อร่วมกันสร้าง “ทศวรรษใหม่แห่งความสัมพันธ์” ให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่มีความท้าทายมากขึ้นมุ่งเน้นความสำคัญใน 3 ประเด็น คือ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้และความร่วมมือด้านความมั่นคง การพัฒนาเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน และ ความร่วมมือในกรอบอาเซียนทั้งนี้ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์การพัฒนาของไทยและมาเลเซียในฐานะ “ภาคีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ต่อการบริหารจัดการความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นและสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับนานาประเทศ ให้มีสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรือง

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวอีกว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนุภูมิภาคหลังการประชุมร่วมกันของผู้นำแผนความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ณ ประเทศอินโดนีเซีย ต่อมาด้วยการประชุม  สุดยอดผู้นำแผน IMT-GT ครั้งที่ 11 ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยที่ประชุม ได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียประเด็น การจัดลำดับความสำคัญโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพในแต่ละแนวระเบียงเศรษฐกิจตามมิติการเชื่อมโยงที่เหมาะสมและเพิ่มแนวระเบียงเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิด การขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามข้อเสนอโครงการที่เสนอต่อผู้นำ พร้อมทั้งคำนึงถึงผลกระทบจากการพัฒนาที่มีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง และโอกาสการเชื่อมโยงกับการพัฒนาของพื้นที่เป้าหมายของรัฐบาล เช่น การเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยกับโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟสายภาคตะวันออก (East Coast Rail Line: ECRL) ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีโอกาสเชื่อมโยงการพัฒนาระดับภูมิภาคตามทางสายไหมใหม่ของจีน (Belt and Road Initiative) โดยเปิดแนวระเบียงเศรษฐกิจใหม่ ประกอบด้วย ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส-เประ-กลันตัน เป็นยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงใหม่ หรือที่เรียกว่า “Economic Corridor ที่ 6” และการหารือถึงโอกาสการเชื่อมโยงเขตเสรีทางโทรคมนาคมรองรับการค้าอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแดนเชื่อมโยงระดับสากล เป็นต้น

สำหรับการประชุม ในวันนี้ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่หลายฝ่ายล้วนต้องการพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคบางประการทำให้โครงการดังกล่าวติดขัดและไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ส่งผลเสียต่อความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางของอาเซียนที่แท้จริง” ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสการพัฒนาความร่วมมือที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงในพื้นที่และโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น สภาวการณ์การค้าขายและสภาพเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศที่ดีขึ้นตามลำดับ ดังเช่นอัตราตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 6 แสนล้านกว่าบาทไทย หากมีการเปิดเส้นทางดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมได้ดีมากยิ่งขึ้นไป รวมทั้ง เป็นการเปิดพื้นที่เส้นทางการท่องเที่ยวและการไปมาหาสู่กันของพี่น้องไทยและมาเลเซียในแถบตะวันออกซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และทางตะวันออกของประเทศไทยได้จำนวนมหาศาลที่จะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังหมายรวมไปถึงการผลักดันพื้นที่ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศในการพัฒนาให้เกิดศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อรองรับการขยายตัวของมุสลิมทั่วโลกในปี ค.ศ. 2020 โดยคาดว่าจะมีมากถึง 2.2 พันล้านคน  ในโอกาสนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ความร่วมมือในเรื่องหนึ่งจะสามารถขยายผลไปยังความร่วมมืออีกหลายๆ เรื่อง เพื่อมุ่งเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน การสร้างสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของทั้ง 2ประเทศสืบไป

อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทยที่เกี่ยวข้อง เช่น ศอ.บต. การรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในส่วนของราชการ-เอกชน-ประชาชน พิจารณาแล้วเห็นสมควรนำประเด็นการเปิดบริการเส้นทางรถไฟเดิมจากสถานีสุไหงโก-ลก (จังหวัดนราธิวาส) ถึง สถานีรถไฟปาเสมัส ประเทศมาเลเซีย หยิบยกขึ้นหารือร่วมกันทั้งในระดับจังหวัด การรถไฟของทั้งสองประเทศ และระดับนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการพัฒนาในอีกหลายมิติเชื่อมโยงกันในอนาคตตามที่กล่าวถึง ขณะเดียวกัน หากความร่วมมือนี้ประสบความสำเร็จ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็พร้อมจะนำข้อมูลสรุปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางการรถไฟเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเทศไทยกำหนดเส้นทางหาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ โดยเพิ่มเส้นทางกลันตัน-สุไหงโกลก-หาดใหญ่ เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งจะต้องมีการหารือให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เป็นรูปธรรมโดยเร็วและจะได้มีการมอบหมายจัดตั้งกลไกความร่วมมือการทำงานร่วมกันในระยะต่อไป

///////////////////////////////////////

 

 1,076 total views,  4 views today

You may have missed