เรียบเรียงโดย: อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

บทนำ: เมื่อสนามเลือกตั้งขยับใกล้ องค์กรศาสนาต้องขยับตัว
ในช่วงวันที่ 27 และ 28 ธันวาคม 2568 ท่ามกลางบรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ปี 2569 ปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองคือการมีชื่อของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งใน คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติ (บางคนแหละส่วนน้อย)
ปรากฏการณ์นี้ได้จุดชนวนให้เกิดคำถามสำคัญจากสังคมมุสลิม โดยเฉพาะเสียงสะท้อนจากนักวิชาการอย่าง ผศ.ดร.ฆอซาลี เบ็ญหมัด ที่ออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ “ความเหมาะสม” และ “สถานะ” ของผู้นำศาสนาบนหอคอยแห่งการเมือง ว่าควรจะวางตัวอย่างไรเพื่อให้องค์กรศาสนายังคงเป็นที่พึ่งของทุกคนอย่างแท้จริง
อธิบาย: สปิริตที่อยู่เหนือข้อกฎหมาย
ในทางนิตินัย พรบ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ไม่ได้มีบทบัญญัติห้ามมิให้กรรมการอิสลามลงสมัครรับเลือกตั้งไว้อย่างชัดเจนเหมือนข้าราชการประจำ แต่ในทางรัฐศาสตร์และจริยธรรมอิสลาม ข้อเรียกร้องให้ “ลาออกก่อนสมัคร” คือการรักษา “สปิริต” (Spirit) และการปกป้องภาพลักษณ์ของส่วนรวม โดยมีมิติที่ต้องพิจารณา 3 ด้านหลัก ดังนี้
- การปกป้องความเป็นปึกแผ่น (Unity): มัสยิดคือศูนย์รวมจิตใจของ “สัปปุรุษ” ที่มีความหลากหลายทางการเมือง หากผู้นำเลือกข้างชัดเจน ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดรอยร้าวและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในชุมชน
- อำนาจนำทางจิตวิญญาณ (Authority): เมื่อผู้นำศาสนาขึ้นคุตบะฮ์ (บรรยายธรรม) หากมีหมวกอีกใบเป็นนักการเมือง คำสอนที่บริสุทธิ์อาจถูกมองว่ามี “วาระซ่อนเร้น” หรือเป็นการหาเสียงทางอ้อม ส่งผลให้ผู้เห็นต่างเกิดความไม่ยอมรับ
- การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest): เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องการใช้ทรัพยากร งบประมาณ หรือสถานะทางศาสนาไปสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง
อภิปราย: ความลักลั่นระหว่างกฎหมายกับความคาดหวังของสังคม
จากการวิเคราะห์ พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจาก “ช่องว่าง” ของกฎหมายเดิม (พรบ. 2540) ที่ไม่ได้คาดการณ์ถึงความทับซ้อนในยุคปัจจุบัน การที่ผู้นำศาสนามักจะรอให้ “ได้รับเลือกตั้งก่อนจึงค่อยลาออก” ถือเป็นการเพลย์เซฟ (Play Safe) ที่ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน เพราะในระหว่างหาเสียง สถานะ “กรรมการอิสลาม” ยังคงติดตัวไปทุกที่
เปรียบเทียบสถานะปัจจุบันกับข้อเสนอใหม่เพื่อความชัดเจน:
| หัวข้อเปรียบเทียบ | สถานะปัจจุบัน (ตามกฎหมายเดิม) | ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป (สปิริตใหม่) |
|---|---|---|
| กฎหมาย (พรบ. 2540) | ไม่ห้ามชัดเจน (ขึ้นอยู่กับระเบียบย่อย) | ต้องระบุห้าม ไว้ในกฎหมายแม่บท |
| การปฏิบัติ | มักลาออกเมื่อ “ชนะ” การเลือกตั้งแล้ว | ต้องลาออก “ก่อน” วันสมัครรับเลือกตั้ง |
| สถานะผู้นำ | อาจควบสองตำแหน่งในช่วงหาเสียง | ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเพื่อความเป็นกลาง |
สรุป: บทพิสูจน์ความสง่างาม
การเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่เพียงการแข่งขันเพื่อเข้าสู่สภาฯ แต่คือ “บทพิสูจน์ความสง่างาม” ขององค์กรศาสนาอิสลามในไทย การที่ผู้นำศาสนาคนใดกล้าหาญที่จะลาออกจากตำแหน่งก่อนลงสมัคร ย่อมแสดงถึงการให้เกียรติองค์กรและแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ตนไม่ได้ต้องการนำชื่อเสียงของศาสนาไปเป็นบันไดทางการเมือง การกระทำเช่นนี้จะยิ่งเพิ่มความสง่างามให้แก่ตัวบุคคลและสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้แก่คนรุ่นหลัง
ข้อเสนอแนะ: ก้าวต่อไปเพื่อการปฏิรูป
เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย มีข้อเสนอแนะดังนี้:
- การแก้ไขกฎหมาย: เสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม พรบ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 โดยกำหนดคุณสมบัติพึงประสงค์ ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสลามทุกระดับเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขณะที่ดำรงตำแหน่งทางศาสนา
- การสร้างบรรทัดฐานจริยธรรม: องค์กรศาสนาควรออกประกาศ “จริยธรรมผู้นำ” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติระหว่างที่กฎหมายยังแก้ไขไม่เสร็จสิ้น โดยรณรงค์ให้การลาออกก่อนสมัครเป็น “ประเพณีปฏิบัติที่สง่างาม”
- การเฝ้าระวังโดยภาคพลเมือง: สัปปุรุษและเครือข่ายภาคประชาสังคมควรทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา ตรวจสอบไม่ให้มีการใช้พื้นที่ศาสนสถานเป็นพื้นที่หาเสียงของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อคงความเป็นกลางทางศาสนาไว้อย่างมั่นคง
“ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อองค์กรศาสนา มีค่ามากกว่าเก้าอี้ทางการเมือง การรักษาหัวใจของสัปปุรุษคือหน้าที่สูงสุดของผู้นำศาสนา”
189 total views, 189 views today

More Stories
เจาะลึกศึกเลือกตั้งสงขลา เขต 8 (จะนะ-นาทวี) เมื่อบารมี “รุ่นใหญ่” ชน “รุ่นใหม่” ในสมรภูมิวิถีชนบท
นโยบายชายแดนใต้ของพรรคประชาชนกับรายงานสันติภาพชายแดนใต้
“บาบอฮุสณี” แห่งจะนะ: จากแกนนำจิตวิญญาณต้านอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาที่ยั่งยืน “ทั้งคุณค่าและมูลค่า สู่ที่พึ่งยามวิกฤต จากโควิดสู่มหาอุทกภัยจะนะ รอบ 100 ปี”