ธันวาคม 7, 2025

สื่อเพื่อสันติspmc

spmc สื่อเพื่อสันติ สรรค์สร้างสังคม

มหาอุทกภัยจะนะรอบ 100 ปี “กระทบกับคนทั้งอำเภอ”: บทเรียนราคาแพงจาก “พื้นที่รับน้ำ” ที่ถูกถมทิ้ง พร้อมบทสะท้อนทำไม คนจะนะจึงคัดค้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐตลอด

แชร์เลย

โดย: อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

#ทำไมชาวบ้านจะนะจึงคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี40
#ลองทบทวนบทเรียนน้ำท่วมจะนะที่หนักขึ้นทุกปี
#มิได้บอกว่าน้ำจะไม่ท่วม แค่มันจะลดความสูญเสียมากกว่านี้โดยเฉพาะชาวบ้านคนตัวเล็กตัวน้อย
#จะนะ ควน ป่า นา เล
#\text{ظَهَرَ الْفَسَادُ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ بِمَا كَسَبَتْ أَيْدِي النَّاسِ لِيُذِيقَهُم بَعْضَ الَّذِي عَمِلُوا لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ}

“ความเสียหายได้ประจักษ์ขึ้นแล้วในแผ่นดิน (บก) และในทะเล เนื่องด้วยสิ่งที่มือของมนุษย์ได้กระทำไว้ เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสผลบางอย่างที่พวกเขาได้กระทำไว้ หวังว่าพวกเขาจะกลับเนื้อกลับตัว” ซูเราะห์อัรโรม :41

#เมื่อความจริงปรากฏความเท็จก็มลาย
#ดังนั้นท่านก็ต้องเลือกระหว่างการพัฒนาอย่างปัจจุบันกับการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

      มหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ที่โหมกระหน่ำอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในช่วงปลายปี 2568 (หนักกว่าปีที่แล้ว 2567) ไม่ได้เป็นเพียงภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็น สัญญาณเตือน ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศครั้งใหญ่ด้วย “น้ำมือมนุษย์” โดยเฉพาะการรุกล้ำและทำลาย พื้นที่รับน้ำ ในอดีตเพื่อแลกกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ก่อให้เกิด “ป่าคอนกรีต” ซึ่งไร้ความสามารถในการรองรับน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อน

     วิกฤตครั้งนี้ทำให้ความสูญเสียทวีความรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อนก็ท่วม ที่ท่วมปีที่แล้วก็หนักกว่าเดิม ทั้งยังตอกย้ำถึง ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวิกฤต ที่ทิ้งให้ชุมชนจะนะต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะชาวบ้าน คนตัวเล็กตัวน้อย


1. วิกฤตจาก “ป่าคอนกรีต”: เมื่อแก้มลิงธรรมชาติหายไป

ความรุนแรงของน้ำท่วมในจะนะคือผลลัพธ์โดยตรงของการ ทำลายสมดุลทางน้ำ ที่เคยทำหน้าที่เป็น “แก้มลิงธรรมชาติ” ในอดีต

การพัฒนาโครงสร้าง (ป่าคอนกรีต) พื้นที่รับน้ำในอดีต (แก้มลิง) ผลกระทบต่ออุทกภัย
โรงไฟฟ้าจะนะ และ โรงแยกแก๊ส TTM (ต.คลองเปียะ/ป่าชิง) เป็นแหล่งรับน้ำจากพื้นที่ตอนในก่อนลงสู่คลองนาทับ (ตามทัศนะของคนท้องถิ่น) การถมที่สูงขนาดใหญ่ทำให้พื้นที่ซับน้ำหายไป ขวางทางน้ำธรรมชาติ และเร่งให้มวลน้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่อื่นแทน
ห้าง/ค้าปลีกขนาดใหญ่ (Lotus’s, Global House ถ. 43) ที่ลุ่มต่ำ/ทางน้ำไหลผ่านในเขตเศรษฐกิจ การถมที่เพื่อสร้างพื้นที่อาคารและลานจอดรถขนาดใหญ่ ทำให้เกิดน้ำหลาก (Surface Runoff) ปริมาณมหาศาล และขวางทางน้ำตามแนวถนน
ถนนสี่เลน (ทางหลวง 43 และ 4085) ตัดผ่านที่ลุ่ม, นา, ป่า, ควน (เนิน) และทางน้ำสายรอง แนวถนนคอนกรีตทำหน้าที่เหมือนกำแพงกั้นน้ำ ขวางการไหลออกของน้ำ ทำให้เกิดการสะสมและท่วมขังอย่างรวดเร็วและยาวนาน

เสียงสะท้อนจากอดีต:
นายแพทย์โส๊ะ หมันหลี แห่งควนหัวช้าง ได้ชี้ให้เห็นถึงภูมิปัญญาดั้งเดิม:
“คนสมัยก่อนเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมตลอดเวลา บ้านยกสูง ไม่ถมดินสร้างบ้าน…คนแต่ก่อนปลูกมันเดือน 6 ไว้กินช่วงน้ำท่วม”
ซึ่งเป็นวิถี “อยู่ร่วมกับน้ำ” ที่ถูกทำลายไปโดยการพัฒนาที่เน้นการถมที่เพื่อรองรับความเจริญ

นี่ไม่นับรวมการถมที่ของโรงงานเล็กๆ บ้านเรือน


2. ความสูญเสียในมิติอื่น: การศึกษาและเศรษฐกิจท้องถิ่น

อุทกภัยครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในภาคส่วนสำคัญของจะนะ:

สถานศึกษาที่ไม่เคยท่วมต้องจมบาดาล

     เช่น โรงเรียนดีนูลอิสลาม (ปอเนาะครูดีนทางควาย), โรงเรียนตัสดีกียะห์ ของบาบอเสะ
โรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ (ปอเนาะโคกยาง) ปีนี้ได้รับผลกระทบหนักกว่าปีที่แล้ว และต้องเจอน้ำท่วมขังนานหลายวัน

     ระบบการศึกษาได้รับความเสียหายหนัก สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางน้ำที่ถูกรบกวน มีการเรียกร้องให้ กระทรวงศึกษาธิการ เยียวยาอย่างเท่าเทียมแก่ทุกโรงเรียน

     ยังมีอีกกว่า 20 โรงเรียน เช่น โรงเรียนรุ่งโรจน์วิทยา แสงธรรมวิทยา ทรัพย์ธานีวิทยา เร๊าะห์มานียะห์ สถาบันการศึกษาศาสนาไม่น้อยกว่า 60 แห่ง รวมทั้งศูนย์อบรมจริยธรรมประจำมัสยิดและโรงเรียนของรัฐไม่น้อยกว่า 50 โรงเรียน(จะนะได้รับฉายาว่า “เมืองการศึกษาอิสลาม”)

วิกฤต “เมืองนกเขาชวาอาเซียน”

     ความเสียหายต่อวงการนกเขาชวาซึ่งเป็นเศรษฐกิจสำคัญ นายสมเดช ดินอะ (หะยีเดช) รายงานการสูญเสียนกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กว่า 105 ตัว มูลค่าหลายล้านบาท และคาดว่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง หลักพันตัว การสูญเสียครั้งนี้กระทบทั้งเศรษฐกิจและจิตใจของคนจะนะอย่างรุนแรง


3. เสียงคัดค้านที่ถูกมองข้าม: บทเรียนตั้งแต่ปี 2540

วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นผลจากความกังวลของชาวบ้านที่คัดค้านโครงการขนาดใหญ่มาตั้งแต่ก่อนปี 2540

  • คัดค้านโครงการใหญ่ เช่น
    ท่อแก๊ส (ก่อนปี 40), โรงไฟฟ้าจะนะ (ปี 51), โรงไฟฟ้าชีวมวล (ปี 59), นิคมอุตสาหกรรมจะนะ (ปี 62)

    เหตุผลสำคัญคือ
    “ความเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก จากการถมพื้นที่รับน้ำ”
    และผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม

  • ผลกระทบต่อจิตใจและศาสนา
    มีการรุกล้ำ ที่ดินวะกัฟ ซึ่งเป็นที่ดินเพื่อศาสนา
    ส่งผลต่อจิตใจชาวมุสลิมในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง

ชาวบ้านเตือนว่าโครงการเหล่านี้จะทำให้เกิดปัญหาน้ำเสีย สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ขาดแคลนน้ำ และน้ำท่วม — ซึ่งวันนี้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว


4. วิกฤตการบริหารจัดการ: ความเหลื่อมล้ำในการช่วยเหลือ

สถานการณ์ครั้งนี้สะท้อน วิกฤตฝีมือมนุษย์ อีกด้านหนึ่งคือการจัดการที่ล้มเหลว

  • ความช่วยเหลือไปกระจุกที่ อ.หาดใหญ่
    ทำให้ อ.จะนะ ได้รับการช่วยเหลือน้อย
    หลายชุมชนต้องพึ่งพาเครือข่ายประชาสังคมและการช่วยเหลือตนเอง

  • บทวิจารณ์รุนแรงจาก บาบอฮุสณี บินกหยีควเนาะ
    ที่กล่าวถึงระดับความคิดของเจ้าหน้าที่รัฐว่า
    ทำให้ “วิกฤตธรรมชาติกลายเป็นวิกฤตฝีมือมนุษย์อย่างไม่จำเป็น”


สรุป: การเลือกระหว่าง “ปัจจุบัน” กับ “ความยั่งยืน”

นี่คือสัญญาณว่าถึงเวลาทบทวนการพัฒนาอย่างจริงจัง

{ظَهَرَ الْفَسَادُ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ بِمَا كَسَبَتْ أَيْدِي النَّاسِ لِيُذِيقَهُم بَعْضَ الَّذِي عَمِلُوا لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ}

“ความเสียหายได้ประจักษ์ขึ้นแล้วในแผ่นดินและในทะเล เนื่องด้วยสิ่งที่มือของมนุษย์ได้กระทำไว้” (ซูเราะห์ อัรโรม :41)

ทางออก
      คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน ปกป้องวิถีชุมชนแบบธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศของ “จะนะ ควน ป่า นา เล”เพื่อลดความสูญเสียของคนตัวเล็กตัวน้อยและป้องกันไม่ให้วิกฤตน้ำท่วมรุนแรงขึ้นในอนาคต

 21,082 total views,  462 views today

You may have missed