ทีมข่าวเฉพาะกิจรายงาน..(รพี มามะ บรรณาธิการข่าว)
(18 ก.ค 2563) จากกรณีที่นางสาว นูรฮาลีซา เจะอาแว อายุ 18 ได้คลอดลูกชายคนที่2ที่โรงพยาบาลบันติง อ.กาจัง รัฐสลางอ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการคลอดก่อนกำหนดโดยมีอายุครรภ์เพียง 34 สัปดาห์เท่านั้น โดยกำหนดคลอดที่จริงอยู่วันที่ 13 พ.ค. 63 และตั้งใจว่าจะกลับมาคลอดที่เมืองไทย แต่ปรากฏว่า ได้เกิดเจ็บท้องขึ้นมา และต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการคลอด โดยได้ลูกชาย มีน้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัม 2 ขีด ทางแพทย์จึงได้นำลูกชายเข้าตูอบ เพื่อช่วยเหลือดูอาการอยู่หลายวัน จนกระทั้ง พาสปอร์ตของตนเองใกล้จะหมดอายุ จึงได้ขออนุญาตทางโรงพยาบาลเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อทำการต่อพาสปอร์ต และจะเดินทางกลับมาอีกครั้งเพื่อดูแลลูกที่ไม่สบาย
“หนูและสามีได้เดินทางกลับในวันที่ 18 มี.ค. แต่เมื่อจะเดินทางกลับประเทศมาเลเซีย กลับพบว่าด่านมาเลเซียปิด เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิด 19 ทำให้กลับเข้าประเทศมาเลเซียไม่ได้ ตนจึงเดินทางกลับบ้าน และพยายามติดต่อไปยังโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีเบอร์โทร จึงล่วงเลยมาเกือบ 6 เดือน ได้รับหนังสือจากโรงพยาบาลบันติง ที่ส่งไปยังสถานทูตไทยประจำประเทศมาเลเซีย เพื่อตามหาแม่ของเด็ก และทางสถานทูตได้ส่งหนังสื่อ ไปยังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ตนจึงได้รับการประสานจาก ศอ.บต. และได้ร้องขอความช่วยเหลือจาก ศอบต. ให้ช่วยเหลือรับลูกตนเองกลับมา” นูรฮาลีซากล่าว
นูรฮาลีซากล่าวอีกว่าหลังจากได้รับหนังสือ ตนได้โทรไปยังโรงพยาบาล ปรากฏว่า ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกตลอดระยะเวลา 5 เดือนกว่า เป็นเงิน 10,000 ริงกิต คิดเป็นเงินไทยประมาณ 7 หมื่นกว่าบาท และยังมีค่าทำคลอดอีก 4,595 ริงกิต คิดป็นเงิน 3 หมื่นกว่าบาท และตนเองได้จ่าค่าทำคลอดเพียง 50 ริงกิตเท่านั้นเองเนื่องจากไม่มีเงินเพราะพึงได้ทำงานไม่กี่วัน และต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อคลอดลูก
“จึงขอวิงวอนให้ทางภาครัฐ ให้การช่วยเหลือด้วย เพราะตนเองคิดถึงลูกมาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลูกกลับมา ก่อนวันรายออิฏิ้ลอัฏฮา ที่จะมาถึงนี้ เพื่อที่จะได้อยู่ที่บ้านร่วมกันกับครอบครัว เพราะตั่งแต่ลูกคลอดออกมา ตนยังไม่ได้เห็นหน้าลูก และขอวิงวอน ไปยังประเทศมาเลเซีย ให้ช่วยเหลือตนเองด้วย เนื่องจากตนไม่มีเงินจริงๆ ถ้าหากทางรัฐบาลไม่ช่วยเหลือ ตนเองก็ไม่มีทางพี่จะทำอะไรได้แล้ว ไม่มีเงินจริงๆ ตั้งแต่กลับมาวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่มีงานทำเลย” นูรฮาลีซากล่าวด้วยน้ำตา
นูรฮาลีซา แต่งงานกับนายมูฮำหมัด ทิพยอและ 27 ปี เป็นชาวบ้านตันหยงลูโละ มีลูกด้วยกันสองคน คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 1 ปี 8 เดือน อาศัยอยู่ญาติที่บ้าน เธอ มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน ชาย 2 และหญิง 4 คน เป็นลูกคนที่ 4 มีฐานะยากจน เรียนจบประถมปีที่ 6 ตอนนี้มีน้องชายคนสุดท้องอายุ 10 ขวบกำลังเรียนหนังสือ พ่ออายุ 52 ปี รับจ้างทั่วไปรับทำมีดและซองมีดซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน อาศัยอยู่ในเล็กๆพร้อมกับลูกชายและหลานๆจำนวน 6 ชีวิต
ด้านนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับข่าวจากทางสื่อที่เสนอข่าวออกมานั้น ซึ่งตอนแรกยังไม่ได้รับการประสานจากหน่วยงานใดเลย เพียงแต่ทราบข่าวจากสื่อ จึงได้กำชับให้ทางนายอำเภอ และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปัตตานี ได้เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่านางสาว นูรฮาลีซา เจะอาแว ได้คลอดลูกที่โรงพยาบาลประเทศมาเลเซียจริง และเป็นการคลอดก่อนกำหนด โดยมีค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่สามารถเดินทางไปรับลูกได้ ทำให้ทางประเทศมาเลเซียทำหนังสือไปยังสถานทูตไทยเพื่อประกาศหาตัวแม่ของเด็ก ซึ่งหากไม่มีแม่ของเด็ก ทางโรงพยาบาลก็จะทำการส่งตัวเด็กไปยังสถานสงเคราะห์ ซึ่งขณะนี้ทาง ศอ.บต.ได้รับหนังสือแล้ว ซึ่งในส่วนของจังหวัดปัตตานี ถ้าหากทาง ศอ.บต.ได้มีการประสานงานไปยังประเทศมาเลเซีย จนสามารถนำเด็กกลับมาได้ ซึ่งค่าใช้จ่าย ทาง ศอ.บต.และ ทางสถานทูตไทยเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ในส่วนของจังหวัดปัตตานี พร้อมรับดูแลเด็กที่จะเดินทางกลับมา และได้เตรียมการไว้แล้ว
“ผมได้ประสานให้ทางโรงพยาบาลปัตตานี ได้เตรียมห้องฉุกเฉินเพื่อดูแล และจะดูแลแม่ของเด็ก โดยการเตรียมการตรวจโควิด 19 และเตรียมสถานที่กักตัว 14 วัน ตามมาตรการ แต่เนื่องจาเป็นเด็กอ่อน ดังนั้นต้องอยู่กับแม่ จึงได้เตรียมสถานที่ให้แม่และลูกได้อยู่ด้วยกัน โดยมีห้องพิเศษ และได้เตรียมแพทย์ในการรักษาด้วย ส่วนที่ 2 ได้ให้ทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปัตตานี ได้ตรวจสอบความเป็นอยู่และหามาตรการในการช่วยเหลือ และให้มีการช่วยเหลือเยียวยาเบื้องตน วันนี้เพียงแค่ได้รับการประสานงานจากสถานทูต หรือทางศอบต.ว่า มีการรับตัวเด็กกลับมาเมื่อไหร่ก็จะเดินการมาตรากรที่วางไว้ทันทีโดยล่าสุดได้ประสานไปยังสถานทูตไทยเพื่อเตรียมการรับเด็กกลับมาประเทศไทยโดยเร็วที่สุด” นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กล่าว
นายณรงค์ ศศิธร เอกอัคราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้กล่าวกลับคณะกรรมการเฉพาะกิจช่วยเหลือคนไทยในมาเลเซียว่า สถานเอกอัคราชทูตไทย (สอท) ได้รับหนังสือจากโรงพยายาลเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาให้ช่วยติดต่อตามหาแม่เด็กซึ่งมาคลอดที่โรงพยาบาลตั้งแต่เดือนมีนาคมและแจ้งกับ รพ ว่าต้องเดินทางกลับไทยเพื่อทำธุระเอกสารการเดินทาง หลังจากนั้น รพ ติดต่อกับแม่เด็กไม่ได้อีก รพ.จึงถามว่าแม่ประสงค์จะกลับมารับเด็กไหม หรือจะให้ทาง รพ.ส่งเด็กไปยังสถานสงเคราะห์เด็ก
“ตอนนี้กำลังให้ทางเจ้าหน้าทีติดต่อโรงพยาบาลอยู่ว่า สถานทูตจะรับส่งเด็กกลับ จะต้องเอกสารอะไรบ้าง และอาจจะมีค่าใช้จ่ายซึ่งต้องปรึกษากับกองคุ้มครองว่าจะให้ใครทำเรื่องเบิกจ่ายอย่างไร” นายณรงค์ ศศิธรกล่าว
1,166 total views, 2 views today
More Stories
เลขาฯ รมต.ยุติธรรม ชี้ มหกรรมแก้หนี้ ปลดหนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม แก้ปัญหาหนี้สิน 242 ล้าน
เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเป็นประธานเปิดป้ายอาคารเรียนและอาคารปฏิบัติการ วิทยาลัยการอาชีพเบตง
เทศบาลเมืองปัตตานีจัดกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่อยอดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของอุทยานการเรียนรู้ปัตตานี